เรียบเรียงโดย
คุณนิฑากรณ์ ดำรักษ์ เจ้าหน้าที่ให้คำปรึกษา คลินิกเทคนิกการแพทย์แคร์แมท
ผู้เชี่ยวชาญทางวิชาชีพด้านแพทย์แผนไทย
เชื่อว่าผู้ชายหลายคนกำลังมองหาตัวช่วยในการบำรุงสมรรถนะทางเพศของตัวเอง นอกจากให้ฟิตปั๋งแล้ว ยังมองหาสิ่งที่จะช่วยเสริมความพึงพอใจของตนเองและคู่นอน รวมถึงการสืบพันธุ์ นั่นคือน้ำอสุจิ จะกินอะไรให้น้ำอสุจิเยอะ ให้ปริมาณอสุจิเยอะ ให้มีความแข็งแรง วันนี้เราขอเสนอเป็น เมนู อาหาร คืออะไร มาดูกันเลยจ้า
Starter เรียกน้ำย่อยกันด้วยสลัดผลไม้ ในสลัดของคุณหากเพิ่มเมล็ดฟักทองลงไป จะเป็นประโยชน์มาก
เมล็ดฟักทองเป็นอาหารบำรุงระบบเจริญพันธุ์ที่ทานได้ทั้งสามีและภรรยา อุดมไปด้วยธาตุเหล็กซึ่งถ้าหากทานบ่อยๆ เป็นประจำจะช่วยเพิ่มโอกาสการตั้งครรภ์ให้สูงขึ้นมากกว่าถึง 40% ช่วยกระตุ้นอารมณ์ทางเพศบำรุงลูกอัณฑะ บำรุงน้ำเชื้อและอสุจิ รักษาอาการต่อมลูกหมากโต แต่ควรหลีกเลี่ยงการทานเมล็ดฟักทองอบเกลือ เพื่อป้องกันโซเดียมเกินและอาการบวมน้ำ ดังนั้นฝากอยากมีลูกเร็วๆ อสุจิแข็งแรงไวๆ ควรทานเมล็ดฟักทองเป็นประจำ
จากนั้น Main course ที่แนะนำคือ สปาเก็ตตี้เนื้อสับ หรือไม่ก็ ออส่วนหรือหอยทอด ส่วนประกอบที่ช่วยบำรุงอสุจิ ได้แก่
2. กระเทียม
อาหารในชีวิตประจำวันของเรา โดยเฉพาะอาหารไทย มีกระเทียมเป็นส่วนผสมอยู่แล้ว ในสปาเก็ตตี้ที่เพิ่มกระเทียมเข้าไป ก็จะช่วยเพิ่มกลิ่นและรสให้กลมกล่อมขึ้น แถมยังบำรุงอสุจิได้ด้วย
แม้ใครหลายๆ คนมักจะเลี่ยงหลีกการทานกระเทียมเนื่องจากกังวลเรื่องกลิ่นที่ตกค้างในช่องปาก แต่หากมองข้ามเรื่องกลิ่นไปได้ จะรู้เลยว่ากระเทียมนั้นอุดมไปด้วยวิตามินนานาชนิดที่เป็นอาหารบำรุงอสุจิ ช่วยให้อสุจิแข็งแรงแล้ว ช่วยบำรุงรักษาเชื้ออสุจิให้แข็งแรงขึน และยังช่วยปรับระบบไหลเวียนของเลือดไปเลี้ยงบริเวณอวัยวะเพศให้ดี สามารถปฏิบัติภารกิจได้อย่างยาวนานมากขึ้น แต่สำหรับใครที่กังวลเรื่องกลิ่นจริงๆ ก็สามารถหลีกเลี่ยงการทานกระเทียมสดๆ แล้วเลือกซื้ออาหารเสริมที่เป็นกระเทียมแคบซูลหรือกระเทียมอัดเม็ดแทนได้
3. เนื้อวัว
การรับประทานเนื้อวัวเป็นประจำทุกวัน จะช่วยเพิ่มปริมาณการผลิตและความแข็งแรงของอสุจิให้มากขึ้นกว่าเดิม แถมยังช่วยเรื่องการเคลื่อนไหวให้รวดเร็วยิ่งขึ้น โดยมีผลการศึกษาจาก European Academy of Andrology ด้วยว่า ผู้ชายที่ทานเนื้อวัวทุกวัน มีน้ำเชื้อที่อสุจิเข้มข้นและมีการเคลื่อนไหวที่ดีด้วย
4. มะเขือเทศ
มะเขือเทศเต็มไปสารไลโคปีนที่ช่วยบำรุงน้ำเชื้อและตัวอสุจิให้แข็งแรงให้มีมากกว่าปกติถึง 70% อีกทั้งให้ช่วยบำรุงการทำงานของระบบเจริญพันธุ์ของฝ่ายชาย ช่วยปรับสมดุลต่อมลูกหมาก ลดความเสี่ยงที่จะเป็นมะเร็งต่อมลูกหมากได้ด้วย
5. ไข่
อาหารบำรุงอสุจิที่ราคาถูก อีกทั้งยังหาทานได้ทั่วไป เพราะอุดมไปด้วยโปรตีน วิตามิน A วิตามิน B1 วิตามิน B2 วิตามิน D แคลเซียม วิตามิน E กรดอะมิโน และธาตุเหล็กที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย เพียงคุณผู้ชายทานไข่ประจำทุกวันก็จะช่วยเสริมสมรรถภาพทางเพศได้ดี ช่วยการรักษาระดับฮอร์โมนของผู้ชาย และยังช่วยเพิ่มความแข็งแรง ปกป้องเซลล์อสุจิและปริมาณให้กับอสุจิไม่ให้เสื่อมง่ายได้อย่างดีเยี่ยม
6. หอยนางรม
อาหารสดที่หลายคนชอบทานอย่าง “หอยนางรม” นั้นไม่ได้มีดีแค่รสชาติอร่อยและเป็นอาหารกระตุ้นสมรรถภาพทางเพศที่ดี เต็มไปด้วยโปรตีน โอเมก้า 3 วิตามิน E วิตามิน D วิตามิน วิตามินB12 ธาตุเหล็ก ทองแดง และเซเลเนียมสำหรับฝ่ายผู้หญิงที่ทานจะช่วยบำรุงระบบเจริญพันธุ์ รังไข่ และมดลูก และสำหรับฝ่ายผู้ชายจะช่วยเพิ่มการผลิตและบำรุงอสุจิให้แข็งแรง และยังช่วยให้ปฏิบัติภารกิจได้ยาวนานมากขึ้นด้วย
กินคาวไม่กินหวาน ก็กะไรอยู่ ของหวานที่เรานำเสนอคือถั่วต้มน้ำตาลนั่นเอง หากใครไม่ชอบถั่ว ก็ลองเมนู กล้วย/ กล้วยหอมกับช็อคโกแลตสักหน่อย
เครื่องดื่มจะขาดได้อย่างไร มิกซ์เบอร์รี่สมูทตี้ นี่ไง สดชื่น
7. ถั่ว
ถั่วเหลือง ถั่วแดง ถั่วปากอ้า ถั่วพู วอลนัท เป็นอาหารบำรุงอสุจิที่ใครที่อยากให้เชื้อแข็งแรง เคลื่อนไหวรวดเร็ว ต้องทานเยอะๆ เพราะอุดมไปด้วยสารอาหารที่เป็นประโยชน์ต่ออสุจิ ทั้งโปรตีน โอเมก้า 3 ซิงค์และวิตามินอี ที่ช่วยในเรื่องการเพิ่มปริมาณอสุจิให้แข็งแรงสมบูรณ์ ช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ได้อย่างเต็มที่อีกด้วย
8. กล้วย
สำหรับใครที่กำลังมองหาอาหารที่ช่วยบำรุงอสุจิและช่วยให้อิ่มท้องได้นาน กล้วยถือว่าเป็นผลไม้ที่เหมาะมากเพราะอุดมไปด้วยแร่ธาตุ วิตามิน A, B1 และ C วิตามิน เกลือแร่ โพแทสเซียมสูง กรดอะมิโน ธาตุเหล็ก น้ำตาลซุกโคส ฟรุคโตสและกลูโคส ที่ร่ายการนำไปใช้ได้ทันที และยังช่วยปรับสมดุลระบบเจริญพันธุ์ช่วยในเรื่องการผลิตน้ำเชื้อที่มีความเข้มข้นมากขึ้นและช่วยให้อสุจิแข็งแรงว่ายได้อย่างรวดเร็ว
9. ช็อคโกแลต
การทานช็อคโกแลตทุกวันเป็นของว่าง โดยเฉพาะดาร์กช็อกโกแลตเป็นการบำรุงอสุจิโดยตรง เนื่องจากในช็อกโกแลตนั้นทำมาจากโกโก้ที่อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยเพิ่มการผลิตน้ำเชื้อให้มีอสุจิมีปริมาณมากขึ้น ช่วยให้ระบบไหลเวียนเลือดทำงานได้ดี ช่วยให้อสุจิว่ายได้อย่างว่องไว และยังมีช่วยให้แต่ละครั้งในการหลั่งน้ำเชื้ออกมาให้มีปริมาณมากๆ ช่วยเพิ่มโอกาสให้มีลูกได้ง่ายขึ้น ช่วยกระตุ้นอารมณ์ทางเพศได้อย่างดีและยังช่วยให้เวลาประกอบกิจกรรมทางเพศจะช่วยให้รู้สึกดีเพิ่มมากกว่าเดิมอีกด้วย
10. ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่
หากต้องการให้น้ำเชื้อเต็มไปด้วยอสุจิแข็งแรงเข้มข้นช่วยให้มีลูกง่ายๆ ควรทานผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ที่มีวิตามิน C สูง เพราะผลไม้เหล่านี้มีส่วนช่วยสร้างกรดอะมิโนที่ช่วยระบบเจริญพันธุ์ให้สามารถผลิตและว่ายน้ำได้อย่างรวดเร็ว ดังนั้นควรทานผลไม้ตระกูลเบอร์รี่อย่างบลูเบอร์รี สตรอว์เบอร์รี ราสเบอร์รี แบล็กเบอร์รี หรือโกจิเบอร์รี เป็นประจำ
ตัวเสริม !!
ถ้าไม่ดื่มน้ำเปล่า ร่างกายจะสร้างน้ำลาย น้ำมูก น้ำตา น้ำเลือด น้ำหล่อลื่น และน้ำอสุจิได้อย่างไร
เครื่องดื่มที่หาง่ายและมีประโยชน์ต่อร่างกายอย่างมาก เพียงคุณผู้ชายหรือให้สามีของคุณดื่มน้ำเปล่าเป็นประจำทุกวันละ 8 แก้ว หรือ 2 ลิตรเพื่อให้เพียงพอต่อร่างกาย เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้ระบบภูมิคุ้มกัน ป้องกันไม่ให้เกิดภาวะขาดน้ำ ปากแห้ง ผิวแห้งกร้าน และยังช่วยเพิ่มปริมาณอสุจิในน้ำเชื้อให้มีมากขึ้นด้วย
แหล่งอ้างอิง
วันที่ 10-13 ม.ค. 2566 มูลนิธิแคร์แมท ได้รับการประเมินคุณภาพและติดตามผล ประจำปี 2022 ที่ผ่านมา โดย USAID Thailand ( United States Agency for International Development ) เพื่อความเป็นมาตรฐานและความเชื่อมั่นสำหรับผู้รับบริการ ในการยุติปัญหาเอดส์ในประเทศไทย ซึ่งได้ร่วมงานกับองค์กรภาคีและหน่วยงานภาครัฐของจังหวัดเชียงใหม่มาอย่างยาวนาน
สปสช.เยี่ยมชมการทำงานเพื่อป้องกันการติดเชื้อเอชไอวีและโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ขององค์กรภาคประชาสังคมในเชียงใหม่
เชียงใหม่, 13 ธันวาคม 2565 – นพ.จเด็จ ธรรมธัชอารี เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) พร้อมด้วย พญ.วลัยรัตน์ ไชยฟู รองผู้อำนวยการ สปสช.เขต 1 เชียงใหม่ ได้เดินทางไปเยี่ยมชมการทำงานขององค์กรภาคประชาสังคมในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ 2 แห่งซึ่งได้รับงบประมาณสนับสนุนการดำเนินงานจากแผนงานฉุกเฉินของประธานาธิบดีแห่งสหรัฐเพื่อบรรเทาปัญหาเอดส์ (PEPFAR) ผ่านองค์การเพื่อความร่วมมือแห่งสหรัฐอเมริกา (USAID) ภายใต้โครงการ EpiC ประเทศไทย และสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.)
โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้
ในเวลา 9.00 เดินทางไปเยี่ยมชมการให้บริการสุขภาพที่นำโดยกลุ่มประชากรหลัก หรือ Key Population Led Health Services (KPLHS) ของมูลนิธิแคร์แมท คุณศตายุ สิทธิกาน ผู้อำนวยการมูลนิธิแคร์แมท ให้ข้อมูลว่า มูลนิธิแคร์แมทเป็นองค์กรภาคประชาสังคมที่ทำงานส่งเสริมการเข้าถึงบริการและสนับสนุนคุณภาพชีวิตของผู้มีความหลากหลายทางเพศ โดยได้มีการเยี่ยมชมคลินิกเพื่อศึกษาโครงการจัดบริการเพื่อยุติปัญหาเอดส์ตามชุดบริการ Reach-Recruit-Test-Treat-Retain (RRTTR) รวมไปถึงศึกษาการเป็นหน่วยบริการที่รับการส่งต่อเฉพาะด้านการบริการเอชไอวีและโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ในชุมชน นอกจากนี้ยังมีการหารือเรื่องโครงการรักเพื่อน ชวนเพื่อน รักสุขภาพ Care for friend Safe life Safe sex ซึ่งเป็นการทำงานเพื่อป้องกันการติดเชื้อเอชไอวี โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ และการทำงานด้านสุขภาพจิตในวัยเรียน เพื่อเพิ่มการเข้าถึงบริการดังกล่าวของกลุ่มวัยเรียนในจังหวัดเชียงใหม่และลำพูน พร้อมกันนี้ยังได้เยี่ยมชมการสาธิตการจัดบริการในกลุ่มเสี่ยงที่เข้ามารับบริการที่คลินิกเทคนิคการแพทย์แคร์แมทอีกด้วย
ต่อมาเวลา 09.45 เดินทางไปเยี่ยมชมการทำงานของมูลนิธิเอ็มพลัส พร้อมรับฟังบรรยายสรุปการดำเนินงานของมูลนิธิ โดย คุณพงศ์ภีระ พัฐภีระพงศ์ ผู้อำนวยการมูลนิธิเอ็มพลัส ทั้งนี้มูลนิธิเอ็มพลัสเป็นองค์กรชุมชนที่มีความเชี่ยวชาญในด้านจัดบริการด้านการป้องกันการติดเชื้อเอชไอวีและโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ รวมถึงงานด้านสุขภาพทางเพศ และสิทธิทางเพศในกลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศในระดับประเทศ นอกจากนี้มูลนิธิเอ็มพลัสยังเป็นหนึ่งในองค์กรภาคประชาสังคมที่นำร่องจัดบริการเพร็พร่วมกับสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติในกลุ่มชายที่มีเพศสัมพันธ์กับชายและผู้หญิงข้ามเพศ ปัจจุบันมูลนิธิเอ็มพลัสได้มีการทำงานครอบคลุมไปถึงกลุ่มแรงงานข้ามชาติและผู้ใช้สารเสพติด โดยมุ่งเน้นให้กลุ่มประชากรหลักเหล่านี้เข้าถึงบริการสุขภาพด้านเอชไอวี เพื่อลดอัตราการติดเชื้อเอชไอวีรายใหม่ในประเทศไทยเพื่อมุ่งสู่เป้าหมายการยุติเอดส์ภายในปี 2573 ตามยุทธศาสตร์ของประเทศ
ในช่วงท้าย มูลนิธิเอ็มพลัสและมูลนิธิแคร์แมทได้มีการหารือถึงความก้าวหน้าของการทำงานขององค์กรภาคประชาสังคมภายใต้การสนับสนุนด้านงบประมาณจากสปสช. ความท้าทาย โอกาสและความร่วมมือในอนาคตเพื่อพัฒนาระบบบริการด้านเอชไอวีและระบบสุขภาพของกลุ่มประชากรหลัก อันจะนำไปสู่คุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นของประชาชนไทยภายใต้หลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าซึ่งเป็นระบบสุขภาพที่ได้รับการยอมรับและชื่นชมจากนานาชาติ
ปี 2022 นี้ใช้สโลแกน หรือคำขวัญว่า ทำให้เท่าเทียม ถึงจุดที่เราควรต้องคิดแล้วว่า โลกยุคนี้พวกเราแสวงหาความเท่าเทียมและเสมอภาค ในด้านสิทธิการเข้าถึงการตรวจเลือด การป้องกันเอชไอวี และรับการรักษา อย่างเท่าเทียมถ้วนหน้า
วันเอดส์โลกมีที่มาอย่างไร?
วันเอดส์โลก (World AIDS Day) วันที่ 1 ธันวาคม ของทุกปี ได้ถูกตั้งขึ้นเพื่อรณรงค์ยับยั้งการแพร่ระบาดของเชื้อเอดส์ ซึ่งได้คร่าชีวิตของผู้ป่วยโรคนี้ไปกว่า 25 ล้านคนแล้วทั่วโลก
วันเอดส์โลก (World AIDS Day) วันที่ 1 ธันวาคม ของทุกปี ได้ถูกตั้งขึ้นเพื่อรณรงค์ยับยั้งการแพร่ระบาดของโรคเอดส์ โรคเอดส์เริ่มเป็นที่รู้จักครั้งแรกในปี พ.ศ. 2524 แต่ในขณะนั้นจะรู้จักเพียงเฉพาะกลุ่มเล็กๆ เท่านั้น ต่อมามีการแพร่ระบาดโรคนี้ไปอย่างรวดเร็วและทั่วโลก จนมีตัวเลขผู้ติดเชื้อเป็นจำนวนมากจนเป็นที่น่าตกใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และแอฟริกา
HIV ย่อมาจาก human Immunodeficiency Virus เชื้อไวรัสนี้เป็นสาเหตุของโรคเอดส์ โดยเชื้อเอชไอวีจะเข้าทำลายเซลล์เม็ดเลือดขาวที่มีหน้าที่สร้างภูมิคุ้มกันโรค ให้ต่อสู้กับเชื้อโรคต่างๆ ที่เข้ามาในร่างกายเวลาที่เราเจ็บป่วย
AIDS ย่อมาจาก Acquired Immunodeficiency Syndrome (โรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง) โรคเอดส์จะเกิดขึ้นเมื่อระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายถูกเชื้อเอชไอวีบั่นทอนให้อ่อนแอลง จนถึงขั้นที่ร่างกายไม่สามารถต้านทานเชื้อโรคต่างๆได้อีก จนเริ่มติดเชื้อ หรือเกิดเป็นโรคต่างๆ
โรคเอดส์พบครั้งแรกในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2524 ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา ผู้ป่วยเป็นชายรักร่วมเพศป่วยเป็นปอดบวมจากเชื้อ นิวโมซีสตีส แครินิอาย (Pneumocystis Carinii) ทั้งที่เป็นคนแข็งแรงมากมาก่อน และไม่เคยใช้ยากดภูมิต้านทาน ผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการ พบว่าเซลล์ที่มีหน้าที่เกี่ยวข้องกับภูมิต้านทานไม่สามารถทำหน้าที่ได้ตามปกติ จากการศึกษาย้อนหลัง พบว่าโรคนี้มีต้นกำเนิดมาจากประเทศแถบอัฟริกาตะวันตกในปี พ.ศ. 2503 และต่อมาได้แพร่ไปยังเกาะไฮติ ทวีปอเมริกา ยุโรปและเอเซียรวมทั้งประเทศไทยด้วย
ในปี พ.ศ. 2526 Luc Montagnier ชาวฝรั่งเศส สามารถแยกเชื้อจากต่อมน้ำเหลืองของผู้ป่วย และตั้งชื่อว่า Lymphadenopathy Assoiciated Virus หรือ LAV และในเวลาใกล้เคียงกัน Robert Gallo นายแพทย์ชาวอเมริกันก็สามารถแยกเชื้อจากเม็ดเลือดขาวของผู้ป่วย และตั้งชื่อว่า Human T cell Lymphotropic Virus Type III หรือ HTL V III ต่อมา Levy นายแพทย์ชาวอเมริกัน สามารถแยกเชื้อชนิดเดียวกันนี้และตั้งชื่อว่า AIDS related virus จากการศึกษาในเวลาต่อมา พบว่าเชื้อทั้ง 3 ตัวนี้น่าจะเป็นเชื้อตัวเดียวกันจึงตกลงตั้งชื่อให้เป็นสากลว่า Human Immounodeficiency Virus หรือ HIV
สำหรับผู้ป่วยเอดส์รายแรกในประเทศไทยนั้น เป็นชายอายุ 28 ปี เดินทางไปศึกษาต่อที่อเมริกาและมีพฤติกรรมรักร่วมเพศ เริ่มมีอาการในปี พ.ศ. 2526 ได้รับการตรวจและรักษาที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่งในสหรัฐอเมริกา พบว่าปอดอักเสบจากเชื้อ Pneumocystis Carinii แพทย์ลงความเห็นว่าเป็นโรคเอดส์ จึงกลับมารักษาตัวที่ประเทศไทยในปี พ.ศ. 2527 และเสียชีวิตในเวลาต่อมา
ในปี พ.ศ. 2527 ประเทศไทยเริ่มมีโรคเอดส์เกิดขึ้นตามรายงานครั้งแรก และในช่วง ปี พ.ศ. 2527จนถึงปี พ.ศ. 2533 จำนวนผู้ป่วยที่ติดเชื้อโรคเอดส์มีอัตราเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว รัฐบาลจึงได้ประกาศเจตนารมณ์ที่จะแก้ไขปัญหาโรคเอดส์ โดยมอบให้กระทรวงสาธารณสุขรับผิดชอบให้มีคณะกรรมการประสานงานเกี่ยวกับโรคเอดส์แห่งชาติ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2528 โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขเป็นประธาน
และเพื่อให้ทั่วโลกได้ตระหนักถึงความสำคัญของการป้องกันโรคเอดส์ ตลอดจนส่งเสริมให้เกิดการยอมรับและห่วงใยต่อผู้ป่วยและผู้ติดเชื้อ องค์การอนามัยโลกจึงได้กำหนดให้วันที่ 1 ธันวาคม ของทุกปี เป็นวันเอดส์โลก ซึ่งเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2531 เป็นปีแรก โดยมีวัตถุประสงค์ดังต่อไปนี้ คือ
ในทุกวันที่ 1 ธันวาคมของทุกปี ทั่วโลกจะมีการจัดกิจกรรมรณรงค์ในวันเอดส์โลก เพื่อเป็นการสร้างจิตสำนึกให้ทุกคนได้ให้ความเห็นใจและห่วงใยต่อผู้ติดเชื้อและผู้ป่วย ตลอดจนให้ทุกคนมีความรู้เกี่ยวกับโรคเอดส์ อันจะเป็นแนวทางหนึ่งที่จะทำให้การขยายตัวของโรคนี้ลดน้อยลง โดยในปีนี้ได้มีคำขวัญวันเอดส์โลกว่า “ไม่ติด ไม่ตาย ไม่ตีตรา : ร่วมยุติปัญหาเอดส์ และเพศสัมพันธ์”
เหลียวหลัง วันเอดส์โลก องค์การอนามัยโลก เอดส์ เอชไอวี
กิจกรรมวันเอดส์โลก
สถานการณ์ของโรคเอดส์กลับแพร่กระจาย มากขึ้นและกลุ่มที่มีความเสี่ยงต่อโรคเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม หลายคนอาจเข้าใจผิดคิดว่าโรคนี้เกิดเฉพาะในกลุ่มรักร่วมเพศ หรือกลุ่มผู้ใช้ยาเสพติดที่ใช้เข็มฉีดยาเข้าเส้นร่วมกัน แต่ในปัจจุบันโรคนี้ได้แพร่กระจายเข้าไปในกลุ่มอื่นๆ ด้วย การจัดกิจกรรมต่างๆ ขึ้นมาเพื่อเป็นการรณรงค์และให้ความรู้ และการป้องกันเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาเรื่องโรคเอดส์ตามมา
จัดนิทรรศการ ให้ความรู้เกี่ยวกับเรื่องโรคเอดส์
การจัดนิทรรศการ ให้ความรู้เกี่ยวกับเรื่องโรคเอดส์รวมถึงการจัดบอร์ด การรณรงค์โรคเอดส์ การสัมมนา ในเรื่อวิชาการความรู้ เกี่ยวกับ โทษของโรคเอดส์ และสาเหตุ รวมถึงการป้องกันให้ความรู้เกี่ยวกับเรื่องเพศสัมพันธ์
จัดกีฬา ต้อต้านโรคเอดส์
การจัดกีฬาต้อต้านโรคเอดส์ เพื่อให้ทุกคน หันมาใส่ใจเรื่องสุขภาพ และห่างไกลโรคร้าย และห่างไกลสิ่งที่จะทำให้เป็นสาเหตุของการเกิดโรคเอดส์ได้
กิจกรรมรณรงค์โรคเอดส์
กิจกรรมรณรงค์ประชาสัมพันธ์ส่งเสริมบริการปรึกษาและตรวจหาการติดเชื้อHIV เกมส์ และถามตอบปัญหาอื่นๆมากมาย กรมอนามัย แจกถุงยางฟรี พร้อมให้ความรู้เกี่ยวกับการป้องกันโรคเอดส์ เผยแพร่ข่าวสาร การให้ความรู้ การป้องกันเกี่ยวกับโรคเอดส์
เผยแพร่ข้อมูลในวันเอดส์โรค
เพื่อให้ทุกคนได้ตระหนักถึงอันตรายจากการติดต่อและการเจ็บป่วยด้วยโรคเอดส์ เผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับโรคเอดส์ให้กว้างขวางยิ่งขึ้นและสามารถนำความรู้ไปใช้ในชีวิตประจำวันได้อย่างถูกต้องปลอดภัย และทำการเสริมสร้างและสนับสนุนให้มีมาตรการการป้องกันให้มากขึ้นในสังคมทุกระดับ โดยจัดให้มีการจัดกิจกรรมต่อต้านต่างๆดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง และเพื่อส่งเสริมให้เกิดการยอมรับและห่วงใยต่อผู้ป่วยและผู้ติดเชื้อ เพื่อให้นักเรียนและประชาชนทั่วไปสามารถปฏิบัติตนในการดูแลตนเองและทราบถึงวิธีการดูแลตนเองให้ปลอดภัยจากโรคเอดส์
วัยรุ่นและเยาวชนไทยในวัยเรียนสมัยนี้ ขาดการรักนวลสงวนตัว กล้าได้ กล้าเสีย มากขึ้น โดยไม่คำนึงถึงปัญหาที่จะตามมาในภายหลัง ดังนั้น ผู้ปกครองนักเรียน โรงเรียน สังคม มีหน้าที่ดูแล สอดส่องพฤติกรรมของนักเรียน และส่งเสริมให้นักเรียนได้รับความรู้ การปฏิบัติตนในการดูแลตนเอง และหาทางป้องกันตนเองได้อย่างถูกต้อง
ข้อระวังในการติดื้อ เอชไอวี และการป้องกันไม่ให้เกิดโรคเอดส์
โรคเอดส์นั้นไม่สามารถติดต่อกันได้ง่ายๆ โดยการติดเชื้อนั้นจะต้องติดกันเฉพาะที่ กลุ่มคนที่รับเชื้อเอชไอวีมานั้น ถูกรังเกลียดจากสังคมเป็นอย่างมาก เนื่องมาจากกลัวการติดเชื้อ การได้รับเชื้อไวรัสเอชไอวีเข้าสู่ร่างกาย โดยการรับเชื้อนั้นจะต้องมีปริมาณมากพอ ที่จะทำให้ติดโรคเอดส์ได้
การรับเชื้อ
การรับเชื้อนั้นจะต้องมีปริมาณมากพอ ที่จะทำให้ติดโรคเอดส์ได้ ได้แก่ เลือด น้ำอสุจิ น้ำในช่องคลอด ต้องเป็นช่องทางที่ทำให้เกิดการสัมผัสส่งต่อเชื้อได้โดยตรง เช่น การใช้เข็มฉีดยาเสพติดร่วมกันหรือ การมีเพศสัมพันธ์กัน โดยกรณีฝ่ายชายติดเชื้อจะส่งผ่านให้ฝ่ายหญิงทางเยื่อบุช่องคลอดหรือ กรณีฝ่ายหญิงติดเชื้อจะส่งผ่านทางปลายเปิดของอวัยวะเพศชายการใช้ถุงยางอนามัยสามารถป้องกันโรคเอดส์และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่นๆ และความไม่พร้อมในการตั้งครรภ์ได้ การใช้ถุงยางอนามัยจึงเป็นวิธีการป้องกันที่ง่ายและได้ผล
กลุ่มคนผู้ที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อเอชไอวี
กลุ่มคนผู้ที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อเอชไอวี ส่วนใหญ่เป็นผู้ที่ใช้บริการทางเพศ หรือมีเพศสัมพันธ์กับผู้ที่มีเชื้อเอดส์ การร่วมเพศกับผู้ติดเชื้อเอดส์ โดยไม่ใช้ถุงยางอนามัย ทั้งชายกับชาย หญิงกับหญิง หรือชายกับหญิง จะเป็นช่องทางธรรมชาติหรือไม่ธรรมชาติก็ตาม ล้วนมีโอกาสเสี่ยงต่อการติด โรคเอดส์ ผู้ติดยาเสพติด โดยใช้กระบอก เข็ม หรือสิ่งเสพติดร่วมกัน และผู้ที่รับเลือดโดยตรงอย่าง การใช้เข็มฉีดยาร่วมกับผู้ป่วยเอดส์ หรือการรับเลือดในขณะการผ่าตัด
จากแม่สู่ลูก
ทารกมีโอกาสติดเชื้อเอดส์จากแม่โดยติดต่อผ่านทางแม่สู่ลูก เพราะแม่มีเชื้อเอดส์ และถ่ายทอดให้ทารก ในขณะตั้งครรภ์ ขณะคลอด และภายหลังคลอด ปัจจุบันมีวิธีป้องกันการแพร่เชื้อเอดส์จากแม่สู่ลูก โดยการทานยาต้านไวรัสในช่วงตั้งครรภ์ จะสามารถลดโอกาสเสี่ยงต่อการติดเชื้อเอดส์ แต่ยังคงมีความเสี่ยงอยู่ ควรตรวจเลือดก่อนแต่งงาน
แนวทางการป้องกัน โรคเอดส์
หากรู้จักป้อกัน ใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้ง ที่มีเพศสัมพันธ์ ซึ่งการมีคู่ครองเพียงคนเดียว และไม่ใช้บริการทางเพศ หรือมีเพศสัมพันธ์กับบุคคลที่มีกลุ่มเสี่ยง จะช่วยป้องกันโรคเอดส์ได้เป็นอย่างดี หรือหากพลาดไปแล้ว ควรหมั่นตรวจร่างกายเป็นประจำ สม่ำเสมอ รวมถึงการงดดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และงดใช้สารเสพติดทุกชนิดร่วมกัน
โรคเอดส์ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้แต่หากได้รับการรักษาอย่างถูกวิธีแล้วก็จะทำให้มีสุขภาพที่ดีและมีชีวิตอยู่ได้นาน เพื่อควบคุมการเพิ่มขึ้นของเชื้อเอชไอวีต้องใช้ยาหลายๆ ตัว และนอกจากนี้แล้วสิ่งที่ดีที่สุด คือการทำจิตใจให้สบาย ออกกำลังกายอย่างถูกต้องและการรับประทานอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการ ไม่ทำงานหนักจนเกินไปและ พักผ่อนให้เพียงพอ
แนวทางการส่งเสริมกิจกรรมวันเอดส์โลก
การจัดตั้งกิจกรรมรณรงค์ต่อต้านโรคเอดส์ทุกวันที่ 1 ธันวาคม พ.ศ.2531 ซึ่งเป็นวันเอดส์โลก ซึ่งถือเป็นวันจัดกิจกรรมรณรงค์ต่อต้านโรคเอดส์พร้อมเพรียงกันทั่วโลก โดยมีจุดมุ่งหมายต่างๆ เพื่อให้ทุกคนได้ตระหนักถึงอันตรายจากการติดต่อและการเจ็บป่วยด้วยโรคเอดส์ เพื่อให้มีความรู้เกี่ยวกับโรคเอดส์ และมีมาตรการในการป้องกันตนเองที่ถูกต้องและสามารถนำไปปฏิบัติได้ในชีวิตประจำวัน
เพื่อให้ทุกคนได้ตระหนักถึงอันตราย
เพื่อให้ทุกคนได้ตระหนักถึงอันตรายจากโรคติดต่อของโรคเอดส์ จึงต้องมีการส่งเสริมและสนับสนุน ให้มีมาตรการการป้องกันโรคเอดส์ให้มากขึ้นในสังคม ทุกชนชั้น
จัดกิจกรรมการต่อต้านโรคเอดส์
เพราะแนวโน้มการติดเชื้อเอดส์ในกลุ่มวัยรุ่นเพิ่มขึ้น จากพฤติกรรมการมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ปลอดภัย อัตราการใช้ถุงยางอนามัยต่ำและระดับความรู้เกี่ยวกับโรคเอดส์ต่ำ การจัดกิจกรรมต่อต้าน และป้องกันการติดเชื้อเอดส์ จึงควรทำอย่างต่อเนื่อง เพื่อส่งเสริมแนวทางการป้องกันการติดเชื้อ เอชไอวี
เพื่อเผยแพร่ความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับโรคเอดส์
การเพื่อเผยแพร่ความรู้ ความเข้าใจ เกี่ยวกับโรคเอดส์ให้เยาวชนและประชาชนทั่วไป ได้เข้าใจอย่างถูกต้อง และกว้างขวางมากยิ่งขึ้น เพื่อป้องกัน และมีการเผยแพร่ข้อมูลที่ถูกต้อง การป้องกันเรื่องการท้องก่อนวัยเรียน และการป้องกันเรื่องการมีเพศสัม พันธ์อย่างถูกวิธี
ห่วงใยผู้ป่วยโรคเอดส์ ไม่ให้เหมือนถูกทอดทิ้ง
เพื่อส่งเสริมให้เกิดการยอมรับและ ห่วงใยต่อผู้ป่วยโรคเอดส์และ ผู้ติดเชื้อเอดส์ ด้วยการจัดกิจกรรมการเยี่ยมผู้ป่วย ที่เป็นโรคเอดส์ การบริจาคของ และการทำกิจกรรมร่วมกับผู้ป่วยที่เป็นโรคเอดส์อย่างไม่รังเกียจ เพื่อสร้างเป็นขวัญและกำลังใจ ให้ผู้ป่วยโรคเอดส์ได้มีแรงใจที่จะต่อสู้ชีวิตต่อไป
เพื่อให้ทุกคนได้ตระหนักถึงอันตรายจากการติดต่อและการเจ็บป่วยด้วยโรคเอดส์ เพื่อสร้างเสริมและสนับสนุนให้มีมาตรการการป้องกันให้มากยิ่งขึ้นในสังคมทุกระดับ ควรมีการจัดกิจกรรมต่อต้านต่างๆ ดำเนินไปอย่างต่อเนื่องการจัดกิจกรรมรณรงค์ในวันเอดส์โลก จะเป็นการสร้างจิตสำนึกให้ทุกคนได้ให้ความเห็นใจและห่วงใยต่อผู้ติดเชื้อและผู้ป่วย ตลอดจนให้ทุกคนมีความรู้เกี่ยวกับโรคเอดส์ อันจะเป็นแนวทางหนึ่งที่จะทำให้การขยายตัวของโรคนี้ลดน้อยลง
แหล่งอ้างอิง
https://www.state.gov/pepfar-world-aids-day-2022/
https://th.wikipedia.org/wiki/วันเอดส์โลก#:~:text=วันเอดส์โลก%20(World%20AIDS,ล้านคนแล้วทั่วโลก
https://www.myhora.com/ปฏิทิน/วันเอดส์โลก.aspx
ข้อมูลจากการสำรวจโดย NHES ชี้ให้เห็นว่า ทัศนคติการตีตรามีแนวโน้มลดลง โดยรวมแล้วผู้คนมีความเข้าใจที่จะอยู่ร่วมกับผู้ติดเชื้อ HIV มากขึ้น แต่สังเกตได้ว่า คนก็ยังกลัวการตรวจเลือด เพราะกังวลว่าคนรอบข้างจะรู้ ถ้าตนเองติดเชื้อ ถึงเกือบ 80% ซึ่งนี่เป็นประเด็นใหญ่ที่สุด และเป็นความท้าทายใหญ่ที่สุด ที่ทางผู้ให้บริการ หรือองค์กรที่รับผิดชอบการยุติปัญหาเอดส์ จะทำอย่างไร ให้ผู้คนตระหนัก และคลายกังวลในการเข้าถึงบริการเพื่อให้รู้สถานะผลเลือดของตัวเอง
การตีตราและเลือกปฏิบัติจากบุคลากรโรงพยาบาล 48 แห่งในประเทศไทย มีแนวโน้มลดลงใน 3 ปีที่ได้สำรวจมา พบว่าบุคลากรโรงพยาบาลยังมีทัศนคติ ตีตราและเลือกปฏิบัติผู้อยู่ร่วมกับเชื้อ HIV สูงมาก จาก 83% ในปี 2018 และลงลงอย่างมีนัยสำคัญ เหลือ 68% ในปี 2020 แต่ยังอยู่ในระดับที่สุง ซึ่งก็เป็นความท้าทายอีกประการที่จะต้องปรับเปลี่ยนทัศนคติผู้ให้บริการ เพื่อให้ผู้รับบริการไว้วางใจและเข้าสู่กระบวนการป้องกันรักษาเอชไอวี/เอดส์ ได้มากขึ้น
ส่วนผู้ที่อยู่ร่วมกับเชื้อ HIV นั้น พบว่าถูกตีตราและเลือกปฏิบัติจากบุคลากรในโรงพยาบาล ในระดับที่น้อยลง โดยเฉพาะประเด็นการถูกเปิดเผยสถานภาพ ดังนั้นจึงเริ่มมั่นใจได้มากขึ้นว่า ทางโรงพยาบาลมีมาตรการ การเก็บรักษาความลับของผู้รับบริการ ในขณะที่การตัดสินใจไม่ไปรับบริการ ซึ่งเป็นปมการตีตราตนเองของผู้อยู่ร่วมกับเชื้อ HIV เอง ก็แทบไม่ได้เปลี่ยนแปลงจากปีก่อนหน้า
ทางมูลนิธิแคร์แมท หวังเป็นอย่างยิ่งว่า ผลสำรวจนี้จะทำให้ผู้อ่าน ได้มีความมั่นใจ คลายกังวล และมีความกล้าที่จะตรวจเลือด ซึ่งเป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์ยุติเอดส์ของชาติ มาช่วยยุติปัญหาร่วมกัน ในขณะเดียวกัน บุคลากรในโรงพยาบาลและสถานบริการสุขภาพก็มีความรู้ความเข้าใจมากขึ้น ต่อการมอง การปฏิบัติตัวต่อผู้อยู่ร่วมกับเชื้อ HIV ทั้งนี้การรู้สถานะผลเลือด การเข้าสู่กระบวนการรักษา การคงสถานะผลเลือดลบ และการมีค่าไวรัสในเลือดในระดับที่ตรวจไม่พบสำหรับผู้อยู่ร่วมกับเชื้อ HIV เป็นหัวใจสำคัญต่อการยุติปัญหาเอดส์ คุณ และเรา ผู้ให้บริการด้านสุขภาพ มาร่วมมือกันเถอะ!
อ้างอิงจาก
นิอร อริโยทัย เครือข่ายลดการตีตราและเลือกปฏิบัติจากเอชไอวี, กองโรคเอดส์และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์, เอกสารประกอบการประชุมการขับเคลื่อนยุติปัญหาเอดส์จังเหวัดเชียงใหม่, 20-21 ต.ค.2565
ถ้าคุณเห็นคนที่ผอมลง มากๆ สภาพน่าสงสัย คุณคิดว่าเป็นเพราะอะไร?
ผอมลง? หรือน้ำหนักลด/น้ำหนักตัวลด (Weight loss) ในทางการแพทย์หมายถึง การลดลงของเนื้อเยื่อในร่างกายส่วนใหญ่คือ เนื้อเยื่อเกี่ยวพันเช่น ไขมัน กล้ามเนื้อ และความหนาแน่นกระดูก ทั้งนี้อาจเกิดโดยไม่ได้ตั้งใจ (Unintentional weight loss) กล่าวคือ เกิดจากโรค หรือเกิดจากการตั้งใจ (Intentional weight loss) ซึ่งคือ การลดน้ำหนัก การอดอาหาร หรือกินยาเพื่อการลดน้ำหนัก
โรคที่เป็นสาเหตุให้ผอมลงหรือน้ำหนักลด มีได้หลากหลายโรค ทั้งโรคที่เกิดจากการติดเชื้อและโรคหรือภาวะที่ไม่ได้เกิดจากการติดเชื้อ โดยสาเหตุที่ทำให้ผอมลงมักเกิดจากอาการของโรคนั้นๆ โดยอาการสำคัญที่ทำให้ผอมลงคือ การเบื่ออาหาร อาการคลื่นไส้ อาการท้อง เสียเรื้อรัง และบางครั้งแพทย์หาอาการที่เป็นต้นเหตุไม่ได้
โรคเอดส์ (หมายเหตุ โรคเอดส์เกิดจากการติดเชื้อ HIV ซึ่งหากไม่รักษาด้วยยาต้านไวรัส ร่างกายจะมีภูมิคุ้มกันบกพร่องจนกระทั่งพัฒนาไปเป็นโรคเอดส์)
นับตั้งแต่มีการตรวจพบผู้ติดเชื้อ HIV คนแรกของประเทศไทย เมื่อปี พ.ศ.๒๕๒๗ เป็นต้นมาจำนวนผู้ป่วยโรคเอดส์ก็พุ่งทะยานขึ้นอย่างรวดเร็ว วันนี้จึงขอนำเสนอการดูแลตนเองให้มีสุขภาพ ที่ดี สำหรับผู้ติดเชื้อ HIV ซึ่งเมื่อมีการติดเชื้อ HIV เกิดขึ้น ร่างกายจะมีการเปลี่ยนแปลงดังนี้
– เชื้อ HIV จะทำให้โครงสร้างและหน้าที่ของเซลล์มีการเปลี่ยนแปลงมีผลกระทบต่อการดูดซึมสารอาหารผิดปกติ ทำให้เกิดอาการเบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียน มีแผลในปาก ระดับกรดในกระเพาะอาหารลดลง และท้องร่วงเป็นต้น
– เชื้อ HIV มีผลต่อการเผาผลาญสารอาหาร โดยมีการนำเอกสารอาหารโปรตีนมาใช้เป็นพลังงานก่อนไขมัน มีผลทำให้ผู้ติดเชื้อมีน้ำหนักลดลง ร่างกายซูบผอม
– ผู้ติดเชื้อจะมีการนำเอาพลังงานมาใช้มากขึ้น แม้ว่าผู้ติดเชื้อจะนอนพักอยู่เฉย ๆ ซึ่งทำให้เกิดความอ่อนเพลียและเซื่องซึม
สำหรับการดูแลตนเองให้มีสุขภาพที่ดีสำหรับผู้ติดเชื้อ HIV ควรเริ่มต้นจากการติดเชื้อในระยะแรก ๆ รีบรับยาต้านไวรัสเอชไอวี ซึ่งหมายถึงระยะที่ผู้ติดเชื้อยังไม่มีการ แต่ถ้าเจาะเลือดจะพบว่ามีเลือดบวกไปตลอดชีวิต ซึ่งการดำเนินของโรคจะช้าหรือเร็วขึ้น เนื่องมาจากสาเหตุหลายอย่าง เช่น อายุเพศ โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ โรคแทรกซ้อน และอาหารจะเป็นปัจจัยหนึ่งที่ผู้ติดเชื้อทุกคนสามารถดูแล โดยการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ เพื่อนำไปเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันโรคและเป็นผลให้ผู้ติดเชื้อมีอายุ ยืนยาวขึ้น
2. โรคหรือภาวะที่ไม่ได้เกิดจากการติดเชื้อเช่น โรคไตเรื้อรัง โรคหัวใจวาย โรคขาดอาหาร โรคท้องเสียเรื้อรัง โรคแผลร้อนใน โรคออโตอิมมูน/โรคภูมิต้านตนเอง โรคมะเร็ง ปัญหาด้านอารมณ์/จิตใจเช่น ความเครียดและอาการซึมเศร้า และผลข้างเคียงจากยาบางชนิดที่ทำให้เกิดอาการเบื่ออาหารและ/หรือคลื่นไส้เช่น ยาต้านไวรัสในโรคเอดส์ หรือยาไทรอยด์ฮอร์โมนที่ใช้รักษาโรคของต่อมไทรอยด์
การผอมลงอาจเกิดเพียงอาการเดียวหรือเกิดร่วมกับอาการอื่นๆก็ได้เช่น มีไข้ต่ำๆ เบื่ออาหาร คลื่นไส้ หรือท้องเสียเรื้อรัง
ถ้าผอมลงโดยที่ไม่รู้สาเหตุคือ น้ำหนักลดลงมากกว่าปกติ 5% ในระยะเวลา 6 เดือน โดยไม่ได้เกิดจากมีโรคและไม่ได้ตั้งใจอดอาหาร ทางการแพทย์จัดว่าเป็นอาการผิดปกติที่ควรพบแพทย์/ไปโรงพยาบาล เพื่อหาสาเหตุ
แหล่งอ้างอิง
2. Weight loss http://en.wikipedia.org/wiki/Weight_loss [2015,Oct3]
3. Weight loss –unintentional http://www.nlm.nih.gov/medlineplus/ency/article/003107.html [2015,Oct3]
4. https://www.ryt9.com/s/prg/144809
ขอเชิญผู้สนใจช่วยตอบแบบสำรวจเพศสภาวะ และความลื่นไหลทางเพศ เพื่อที่จะเป็นประโยชน์ต่อการบริการในแง่ความลื่นไหลทางเพศต่อไปครับ
https://forms.gle/G3WfPyPZZAtvzjqv7
1. ประเทศไหนที่ใช้ถุงยางอนามัยกันเป็นเรื่องปกติมากที่สุด ?
ประเทศญี่ปุ่น มีอัตราการใช้ถุงยางมากที่สุดในโลก ผู้หญิงที่แต่งงานแล้วให้คู่ใช้ถุงยางเพื่อคุมกำเนิดสูงถึง 80% ในขณะที่การใช้ถุงยางคุมกำเนิดในคู่สามีภรรยาในประเทศพัฒนาแล้วอื่นๆมีค่าเฉลี่ยที่ 28%
Wikipedia, https://en.wikipedia.org › wiki › Condom
2. ประเทศไหนที่มียอดขายถุงยางอนามัยสูงที่สุดในโลก?
ประเทศจีน ซึ่งมีประชากร 1.4 พันล้านคน และ 900 ล้านคนที่อยู่ในช่วงวัยมีเพศสัมพันธ์ ข้อมูลปี 2018 แสดงถึงยอดการใช้ถุงยางสูงถึง 13,000 พันล้านชิ้น นอกจากนี้จีนยังเป็นผู้ส่งออกถุงยางอนามัยรายใหญ่รายหนึ่งของโลกอีกด้วย
ธ.ค.2564, https://newspatrolling.com › which-countries-have-highest-condom-use/
3. ประเทศที่มีประชากรมากอย่าง อินเดีย ใช้ถุงยางมากแค่ไหน?
อัตราการใช้ถุงยางในอินเดียต่ำมาก แค่ 5.6% ของประชากร และผู้ชายไม่ถึง 1 ใน 10 ใช้ถุงยางในขณะที่ผู้หญิงอินเดียมากกว่า 40% นิยมใช้วิธีทำหมัน ( National Family Health Survey-5 (2019-2021)) เพื่อหลีกเลี่ยงการตั้งครรภ์ ซึ่งการทำหมันมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นไปจนถึงถิ่นชนบทห่างไกลอีกด้วย
รายงานปี 2018 จากกระทรวงสาธารณสุขของอินเดียแจ้งว่า 95% ของคู่สมรสซึ่งอายุ 15-49 ปี ไม่ใช้ถุงยางอนามัย
https://www.livemint.com/industry/retail/lockdown-dents-condom-sales-in-india-11622123601449.html
4. ถ้าจะซื้อถุงยางที่ เกาหลีใต้ ?
เกาหลีใต้ระบุว่า การขายถุงยางลักษณะพิเศษ ให้แก่เยาวชน เป็นสิ่งผิดกฎหมาย ได้แก่ถุงยางที่มีปุ่มมีเม็ด เป็นสันหรือรูปแบบแปลกๆ
มี.ค.2560, https://koreaexpose.com/condoms-teens-south-korea/
5. ขนาดของถุงยางที่ใช้ทั่วโลก เป็นอย่างไร?
ขึ้นอยู่กับขนาดของอวัยวะเพศตามภาพที่สำรวจกันมาเลยจ้า
6. อะไรทำให้ถุงยางอนามัยหมดประสิทธิภาพ?
ส่วนใหญ่การที่ใช้ถุงยางไม่ได้ผล นอกเหนือจากที่ไม่สามารถใช้ได้ทุกครั้งแล้ว คือการที่ถุงยางฉีกขาดหรือไม่ก็ลื่นหลุดออกจากอวัยวะเพศชาย ซึ่งถุงยางหลุดเกิดขึ้นบ่อยกว่าถุงยางแตก โดยเฉพาะเมื่อใช้ถุงยางไซส์ใหญ่เกินตัว เมื่อเกิดความเสี่ยงเช่นนี้แล้ว ให้รีบกินยาคุมฉุกเฉินเพื่อป้องกันการตั้งครรภ์ หรือกินยาต้านเอชไอวีฉุกเฉิน (ยาPEP)
7. ถุงยางที่หมดอายุ จะยังใช้ได้ไหม?
ควรหลีกเลี่ยงการใช้ถุงยางที่หมดอายุแล้ว เพราะมันฉีกหรือแตกง่ายกว่าเดิม ซึ่งมีโอกาสรับเชื้อโรคทางเพศสัมพันธ์ได้ง่ายขึ้น
8. การใส่ถุงยางอนามัย 2 ชั้น ช่วยป้องกันโรคได้ดีกว่าเดิม?
ไม่เลย คุณไม่ควรทำแบบนั้น มันจะยิ่งป้องกันโรคได้น้อยลง เพราะเวลาถุงยางประกบกันจะเกิดแรงเสียดทานมาก เมื่อเสียดสีกันจะทำให้แผ่นยางฉีดขาดหรือแตกได้
9. ถุงยางทำให้เสร็จ (หลั่ง) เร็วขึ้นไหม?
การศึกษาในปี 2016 พบว่าถุงยางที่เป็นแบบหนาอาจช่วยให้ผู้ชายหลั่งช้าลง ซึ่งข้อเสียหนึ่งคือมันไปลดความรู้สึก
เสียวเวลาร่วมเพศสำหรับบางคน
ก.พ.2565 ,Best condoms for premature ejaculation and lasting longer, https://www.medicalnewstoday.com › articles
10. ถ้าไม่ใช้ถุงยางอนามัยสำหรับการร่วมเพศแล้ว มันจะใช้ทำอะไรได้อีก?
– ใช้แทนถุงมือเพื่อโกยสิ่งปฏิกูลในชักโครก
– คลุมนาฬิกาข้อมือ และโทรศัพท์มือถือ กันรอยขีดข่วนและกันน้ำ (เมื่อเล่นน้ำสงกรานต์)
– เป็นหนังสติ๊ก ใช้ยิง ใช้มัด
– ช่วยเปิดฝาขวดที่มันแน่นๆ
– ใส่น้ำ เหล้า เครื่องดื่ม เพื่อพกพา
– ใช้แทนถุงเท้า กรณีฉุกเฉิน หรือคลุมไว้กันน้ำเมื่อเดินลุยน้ำท่วม
– ทำ cold pack ไว้ประคบเย็น
– เก็บไว้ใช้เป็นอุปกรณ์สาธิตการมีเพศสัมพันธ์ที่ปลอดภัย
แล้วเพื่อนๆคิดว่า จะใช้ทำอะไรได้อีก …?
แม่สุดสรอง ผู้ที่ก้าวข้ามคำว่า HIV
ในเดือนสิงหาคมนี้ เป็นเดือนของ คุณแม่ แคร์แมทอยากเสนอแง่มุมหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับแม่ๆทั้งหลาย ซึ่งเป็นประเด็นทางสุขภาพและสังคม ลิ้งค์นี้อาจจะไม่อัพเดท แต่เราเชื่อว่าคุณผู้ชมจะได้รับแนวคิด ทัศนคติ มุมมองใหม่ และความรู้ใหม่ ที่จะมองเห็นและเข้าใจคนเหล่านี้มากขึ้น อยู่ร่วมกับพวกเขาเหมือนกับเพื่อนหรือญาติพี่น้องของเรา
ตอนที่ 1
https://www.youtube.com/watch?v=BgZ5FaxvBuw&ab_channel=RAMAChannel
ตอนที่ 2
https://www.youtube.com/watch?v=opow9QFE_uA&ab_channel=RAMAChannel
รู้จักไวรัสตับอักเสบ ซี
ไวรัสตับอักเสบ ซี น่ากลัวจริงหรือ
การติดต่อของไวรัสตับอักเสบ ซี เกิดขึ้นได้อย่างไร
การตรวจวินิจฉัยโรคไวรัสตับอักเสบซี ทำได้โดย
ยาสำหรับรักษาโรคไวรัสตับอักเสบซีเรื้อรัง
ยาที่ได้รับการพิสูจน์ว่ามีประโยชน์และเป็นมาตรฐานการรักษาในปัจจุบัน คือ ยาฉีด Pegylated interferon สัปดาห์ละ 1 ครั้งร่วมกับการรับประทานยา Ribavirin ทุกวัน โดยได้รับยาต่อเนื่องเป็นเวลา 24 – 48 สัปดาห์ อัตราการตอบสนองอาจสูงถึงร้อยละ 90 ขึ้นอยู่กับสายพันธุ์ของไวรัสที่เป็น
สิ่งที่คุณทำได้ เพื่อต้าน “ไวรัสตับอักเสบ ซี”
ป้องกันการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบซี ทำได้หรือไม่?
ปัจจุบันยังไม่มีวัคซีนสำหรับสร้างภูมิป้องกันการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบซี หลักสำคัญคือ หลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงของการติดเชื้อ เช่น หลีกเลี่ยงการใช้ของมีคมหรือเข็มฉีดยาร่วมกับผู้อื่น หลีกเลี่ยงการรับเลือดโดยไม่จำเป็น คู่สมรสที่มีเชื้อไวรัสตับอักเสบซีสามารถอยู่ร่วมกันได้ตามปกติ มารดาที่ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบซีสามารถให้นมบุตรได้
คำแนะนำสำหรับผู้ป่วยโรคไวรัสตับอักเสบซี
เราสามารถใช้ชีวิตประจำวันร่วมกับผู้ป่วยไวรัสตับอักเสบ ซี ได้หรือไม่
โดยปกติผู้ป่วยสามารถใช้ชีวิตในสังคมร่วมกับผู้อื่นได้โดยไม่มีผลกระทบต่อกันแต่อย่างใด เช่น การรับประทานอาหารร่วมกัน เป็นต้น ในเพศหญิงสามารถมีบุตรได้โดยการติดต่อไปยังทารกพบได้น้อยมาก และสามารถให้นมบุตรได้ตามปกติ
ที่มา