เดือนมิถุนายน ของทุกปี คือเดือนแห่งความภาคภูมิใจของชาว LGBTAIQ+ (Pride Month) เรามักจะเห็นสีรุ้ง
ไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะเห็นธงสีรุ้งปลิวไสวนอกบ้านและในบาร์ ติดไว้ที่เสื้อและที่หลังกันชน ทั้งหมดนี้เป็นการประกาศที่เป็นสากลและภาคภูมิใจว่า #LoveIsLove แต่ใครเป็นคนสร้างธงสีรุ้ง และทำไมมันถึงกลายมาเป็นสัญลักษณ์ของชุมชน LGBT?
ธงสีรุ้งถูกสร้างขึ้นในปีค.ศ. 1978 โดยศิลปินชาวอเมริกันผู้เป็นทั้งนักออกแบบ ทหารผ่านศึกในสงครามเวียดนาม และนักแสดง Drag queen ชื่อว่า Gilbert Baker เขาได้รับมอบหมายให้สร้างธงโดยนักการเมืองฮาร์วีย์ มิลค์ ไอคอนเกย์อีกคน สำหรับขบวนพาเหรดงาน pride ประจำปีของซานฟรานซิสโก
Baker ได้ให้สัมภาษณ์ที่พิพิธภัณฑ์ศิลปะสมัยใหม่ ในปีค.ศ.2015 ว่าความคิดเรื่องธงที่เป็นตัวแทนของชุมชนเกย์และเลสเบียนเกิดขึ้นโดยบังเอิญกับเขาเมื่อ 2 ปีก่อนที่เขาจะสรรสร้างผลงาน นั่นคือปี 1976 เขาได้รับแรงบันดาลใจจากการเฉลิมฉลองครบรอบ 200 ปีของอเมริกา โดยสังเกตว่าสัญลักษณ์ดาวและแถบจากธงชาติอเมริกันที่เรียงกันอย่างต่อเนื่องทำให้เขาตระหนักว่าคงต้องมีอะไรสักอย่างที่สื่อถึงวัฒนธรรมสำหรับชุมชนเกย์ และในฐานะนักแสดงแดร็กซึ่งเคยชินกับการสร้างเสื้อผ้าของตัวเอง เขาก็พร้อมที่จะตัดเย็บสัญลักษณ์อันโดดเด่นนี้ในไม่ช้า
ในเวลานั้น ภาพที่ใช้บ่อยที่สุดสำหรับการเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิเกย์ที่กำลังเติบโตคือสามเหลี่ยมสีชมพู ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ที่พวกนาซีใช้เพื่อระบุกลุ่มรักร่วมเพศ Baker เห็นว่าการใช้สัญลักษณ์ที่มีอดีตอันมืดมนและเจ็บปวดนั้นไม่เคยเป็นทางเลือกสำหรับเขา เขาเลือกที่จะใช้สายรุ้งเป็นแรงบันดาลใจแทน
สีที่แตกต่างกันภายในธงหมายถึงการอยู่ร่วมกัน เนื่องจากชาว LGBT มาในทุกเชื้อชาติ ทุกวัย และทุกเพศ และสายรุ้งก็มีทั้งธรรมชาติและสวยงาม ธงดั้งเดิมมีแปดสี แต่ละสีมีความหมายต่างกัน ด้านบนเป็นสีชมพูสด ( Hot pink) ซึ่งเป็นตัวแทนของเพศ สีแดงสำหรับชีวิต สีส้มสำหรับการรักษา สีเหลืองหมายถึงแสงแดด สีเขียวสำหรับธรรมชาติ สีเทอร์ควอยซ์แสดงถึงศิลปะ สีครามสำหรับความสามัคคี และสุดท้ายสีม่วงที่ด้านล่างสำหรับจิตวิญญาณ
ด้วยความช่วยเหลือจากอาสาสมัครเกือบ 30 คนที่ทำงานในห้องใต้หลังคาของ Gay Community Center ในซานฟรานซิสโก Baker สามารถสร้างธงสีรุ้งชิ้นแรกโด่งดังไปทั่วโลกจนถึงปัจจุบัน จัดแสดงครั้งแรกที่ขบวนพาเหรดวันเสรีภาพเกย์ในซานฟรานซิสโกเมื่อวันที่ 25 มิถุนายน ค.ศ.1978
หลังจากเปิดตัวการออกแบบแล้ว ผู้เข้าร่วมขบวนพาเหรดต่างโบกสัญลักษณ์ใหม่ด้วยความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันอย่างภาคภูมิ จากนั้น Baker ก็ออกแบบให้กับ Paramount Flag Company ซึ่งขายธงรุ่นที่มี 6 สี สีชมพูสดถูกตัดออกไป และสีเทอร์ควอยซ์กับสีคราม ถูกแทนที่ด้วยสีน้ำเงินเป็นแถบสีเดียว เพื่อวัตถุประสงค์ในการใช้งานจริง หลังจากการลอบสังหารฮาร์วีย์ มิลค์ เมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน ค.ศ.1978 ความต้องการธงสีรุ้งก็เพิ่มขึ้น ความนิยมเพิ่มขึ้นอีกครั้งในทศวรรษต่อมาเมื่อชาวฮอลลีวูดในเวสต์ฮอลลีวูดฟ้องเจ้าของบ้านเรื่องสิทธิ์ในการแขวนธงนอกบ้าน
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ธงสีรุ้งเริ่มได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อย ๆ และปัจจุบันมีให้เห็นทั่วโลกในฐานะตัวแทนเชิงบวกของชุมชน LGBT ธงรูปแบบยาวหนึ่งไมล์ถูกสร้างขึ้นเพื่อเฉลิมฉลองวันครบรอบ 25 ปีของเหตุการณ์สำคัญสองเหตุการณ์ Stonewall Riots และการสร้างธงของ Baker เอง Baker เสียชีวิตเมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2017 ขณะอายุ 65 ปี เพียงสองปีหลังจากการแต่งงานเพศเดียวกันถูกกฎหมายในสหรัฐอเมริกา มรดกของเขายังคงอยู่ในธงหกสีที่โบกสะบัดอย่างภาคภูมิใจทุกเดือน Gay Pride ตระหนักถึงชีวิต และเป็นที่รักของชาว LGBT ทั่วโลก
อ้างอิงจาก
https://www.history.com/news/how-did-the-rainbow-flag-become-an-lgbt-symbol
แปลและเรียบเรียงจาก https://theswaddle.com/kink-101-everything-you-need-to-know-about-bdsm/
BDSM คือการปฏิบัติทางเพศที่มีอัตลักษณ์และกิจกรรมทางเพศที่หลากหลาย BDSM มักถูกมองว่าเป็นรสนิยมทางเพศด้านมืด นอกลู่นอกทาง และผิดปกติ ซึ่งมักจะบังคับให้ผู้เล่นต้องหลบเข้าไปในเงามืด เป็นกลุ่มลับที่อยู่แบบมิดชิด ซึ่งแปลกแยกจากสังคมส่วนใหญ่
ผู้เข้าร่วม BDSM ก็จะมี 3 แบบหลัก ได้แก่ ครอบงำ ยอมจำนน และแบบสลับไปมาระหว่างสองแบบแรก ซึ่งเพศวิถีนี้ก็มีความลื่นไหลและต่อเนื่อง และสามารถเปลี่ยนแปลงได้ขึ้นอยู่กับอารมณ์หรือคู่ของผู้เข้าร่วม
บีดีเอสเอ็มมีอะไร?
Bondage (พันธนาการ) : รูปแบบหนึ่งของการจำกัดการเคลื่อนไหวของผู้เล่นทางเพศ เช่น การใช้เชือกหรือกุญแจมือ การยับยั้งชั่งใจแบบนี้สามารถเพิ่มความเพลิดเพลินทางเพศให้กับบางคน และกระตุ้นความรู้สึกทางร่างกาย (ความอบอุ่น ความเย็น ความกดดัน ความเจ็บปวด) ในบริเวณต่างๆ ของร่างกาย
Discipline (ระเบียบวินัย) : กฎและบทลงโทษ ทั้งหมดตกลงกันก่อนการเผชิญหน้าทางเพศจะเริ่มขึ้น โดยปกติผู้ที่มีอำนาจเหนือกว่า จะใช้การควบคุมและกำหนดการกระทำของคู่ที่ยอมจำนน
Dominance: (การครอบงำ) การมีอำนาจเหนือคู่นอนทั้งในและนอกเพศสัมพันธ์ บางครั้ง ผู้ที่มีอำนาจเหนือกว่า กำหนดและจัดการกับคู่นอน (ด้วยความยินยอมของอีกฝ่าย) ไม่เพียงแต่พฤติกรรมบนเตียงของคู่นอนเท่านั้น แต่ยังรวมถึงพฤติกรรมนอกเหนือจากนั้นด้วย ตั้งแต่การกินไปจนถึงรูปแบบการนอนหลับ
Submission (การยอมจำนน) : การกระทำของผู้ยอมจำนนที่ยอมทำตามผู้มีอำนาจเหนือกว่า พวกเขาตัดสินใจหรือรู้ตัวว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับตนเอง พอๆกับ (หรืออาจมากกว่า) ที่ผู้มีอำนาจสั่งการรู้ตัว การสื่อสารระหว่างผู้มีอำนาจและผู้ยอมจำนนเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด เนื่องจากต้องมีการกำหนดขอบเขต แบ่งปันความปรารถนา และได้รับการอนุญาต
Sadism , Masochism, Sadomasochism ซาดิสม์และมาโซคิสม์หรือซาโดมาโซคิสม์: ความสุขที่ผู้เข้าร่วม BDSM ได้รับจากการสร้างความเจ็บปวดให้คู่นอน (ซาดิสม์) หรือไมก็ได้รับความเจ็บปวดจากคู่นอน (มาโซคิสม์) สิ่งนี้อาจแสดงออกเป็นความเจ็บปวดทางอารมณ์ในรูปแบบของการทำให้อับอาย (humiliation) BDSM อาจรุนแรงได้ ถ้าคำว่า ‘รุนแรง’ ถูกดึงออกจากความสัมพันธ์เชิงลบทั้งหมด เรียกว่าการเล่นด้วยความรู้สึกรุนแรง BDSM เช่นการตบตี หยิก หรือทำให้คู่นอนได้รับอันตรายทางร่างกายอื่นๆ แต่ทั้งหมดนี้เป็นความยินยอมพร้อมใจ ความยินยอมเป็นกุญแจสู่การแสดงออกที่ดีของลัทธิ Sadomasochism กิจกรรมสามารถหยุดลงได้ทุกเมื่อหากมีใครรู้สึกไม่สบายใจกับความรุนแรงของการเล่น
คนที่มีส่วนร่วมใน BDSM จัดการกับความยินยอมอย่างไร?
ความยินยอม ในลักษณะที่ไม่มีการบังคับ พร้อมกับกำหนดขอบเขตไว้ชัดเจน และไปในทิศทางที่กระปรี้กระเปร่า จะทำให้เกิดประสบการณ์ทางเพศที่ปลอดภัยและสนองความต้องการอย่างครอบคลุมสำหรับคู่นอนทุกคน สามารถระบุไว้ในสัญญาอย่างเป็นทางการ หรือข้อตกลงปากเปล่า แบบไม่เป็นทางการ หากผู้เล่นรู้สึกไม่สบายใจทั้งก่อนหรือระหว่างประสบการณ์ พวกเขาสามารถหยุดได้อย่างง่ายดาย และผู้เล่นคนอื่นต้องเคารพในการเปลี่ยนใจนี้ จากการสื่อทางคำพูด หรือการส่งสัญญาณให้หยุด
BDSM สามารถเข้ากับเพศสัมพันธ์แบบธรรมดาได้หรือไม่?
BDSM สามารถมีได้หลายรูปแบบ ที่เราเข้าใจมักจะเป็นแบบที่มีแส้ มีชุดหนัง เหมือนที่เห็นในการแสดง BDSM ที่เป็นลักษณะ Discipline, Sadomasochism , Submission สามารถแปลเป็นการกระทำได้หลากหลาย ที่จะเพิ่มเติมในเพศสัมพันธ์ ไม่ว่าจะเป็นการตีก้นหรือกัดเบาๆ การใช้กุญแจมือ แม้กระทั่งการปฏิเสธไม่ให้คู่นอนถึงจุดสุดยอด จิดใจคนเราก็มีความพิสดารอยู่เหมือนกัน ซึ่ง BDSM ให้สเปกตรัมที่กว้างซึ่งสามารถรองรับความต้องการทางเพศที่มีความเข้มข้นต่างกันได้
อะไรทำให้ใครบางคนเอนเอียงไปทาง BDSM?
ความพึลึกพิลั่นที่จะร่วมเพศแบบ BDSM อาจเป็นความปรารถนาที่มีมาแต่กำเนิด เหมือนกับเด็กที่เรียนรู้ว่าตัวเองเป็น queer หรือคนประหลาดจะค่อยๆ รู้จักตัวตนของพวกเขาเองเมื่อเวลาผ่านไป พูดง่ายๆ ก็คือคนที่ไม่จำเป็นต้องมี sex แบบนั้น ก็สามารถค้นพบ BDSM ได้ในภายหลัง บางทีอาจเพื่อเติมชีวิตชีวาให้ความสัมพันธ์ของพวกเขาหรือเพื่อค้นหาความตื่นเต้นในเรื่องเพศของพวกเขา
การมีความบอบช้ำทางใจ ((Trauma) จะนำเข้าสู่ความสนใจ BDSM หรือไม่?
มันไม่ได้เป็นตัวกระตุ้นให้เกิดความปรารถนาที่จะมีส่วนร่วมใน BDSM อย่างไรก็ตาม BDSM สามารถให้กำลังใจและพื้นที่ปลอดภัยสำหรับผู้รอดชีวิตจาก trauma ซึ่งอาจต้องการเอาชนะความบอบช้ำทางใจ ด้วยการปลดปล่อยความเจ็บช้ำอีกครั้ง ด้วยการควบคุมผลลัพธ์ในครั้งนี้ หากสมาชิกของชุมชน BDSM ให้การดูแล ความเคารพ และการสื่อสารกันอย่างเป็นปกติ ก็จะเกิดเป็นพื้นที่ปลอดภัยสำหรับผู้ที่มี trauma ในการเปิดโลกและคงสภาพเรื่องเพศของพวกเขา
ทุกคนมีคนรักหลายคน (Polyamorous) ในชุมชน BDSM หรือไม่?
ไม่ ไม่จำเป็น BDSM เป็นเพศวิถีทางเลือก นั่นคือมันเบี่ยงเบนไปจากสิ่งที่สังคมถือว่าเป็นบรรทัดฐาน โดยธรรมชาติแล้ว BDSM ยังยอมรับเพศวิถีอื่นๆ เช่น การมีภรรยาหลายคน ชุมชน BDSM ยังยินดีต้อนรับเพศวิถีทางเลือกทั้งหมด ตัวอย่างเช่น ความสัมพันธ์แบบผู้ครอบงำ-ผู้ยอมจำนน อาจเป็นแบบผัวเดียวเมียเดียว หรือความสัมพันธ์แบบซ้อนทับกันแค่ไหน กลุ่มคนชายขอบก็มักยอมรับซึ่งกันและกัน
โดยสรุปแล้ว ตั้งแต่การพูดคุยโดยละเอียดและครอบคลุมก่อนที่จะทำ BDSM เพื่อกำหนดขอบเขตและยืนยันความต้องการทางเพศ การสื่อสารที่เปิดเผยและตรงไปตรงมา การดูแลหลังการกระทำ ตลอดจนจริยธรรมของ BDSM สิ่งเหล่านี้จะก่อให้เกิด สภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยและได้รับการเคารพ ซึ่งจะช่วยให้พวกเขาแสดงเพศวิถีของตนเองอย่างมั่นใจ
Save lives: Decriminalise รักษาชีวิต ยกเลิกการเอาผิดทางอาญา เพื่อยุติเอดส์
วันยุติการเลือกปฏิบัติ 2566 ภายใต้สโลแกน “รักษาชีวิต ยกเลิกการเอาผิดทางอาญา เพื่อยุติเอดส์” (“Save lives: Decriminalise”) โครงการเอดส์แห่งสหประชาชาติ (ยูเอ็นเอดส์) ให้ความสำคัญเรื่อง การยกเลิกการเอาผิดทางอาญากับกลุ่มประชากรหลักและผู้ที่อยู่ร่วมกับเอชไอวีเปนการรักษาชีวิตและช่วยยกระดับการยุติปญหาเอดส์ การที่กฎหมายเอาผิดทางอาญาหลายฉบับมุ่งเป้าไปที่กลุ่มประชากรหลักกลุ่มต่างๆ และผู้อยู่ร่วมกับเอชไอวีเปนการละเมิดสิทธิมนุษยชน ส่งผลให้คนถูกตีตราและทำให้ตกอยู่ในอันตรายมากขึ้น เพราะเปนการสร้างอุปสรรคขัดขวางการเข้าสู่บริการและการสนับสนุนที่จำเปนสำหรับพวกเขาในการป้องกันและดูแลสุขภาพของตนเอง
ป พ.ศ. 2564 โลกตั้งเป้าหมายการปฏิรูปกฎหมายไว้สูงมากในการขจัดกฎหมายอาญาที่บั่นทอนการตอบสนองการแก้ไขปญหาเอชไอวีและละทิ้งประชากรหลักกลุ่มต่างๆ ไว้เบื้องหลัง บนความตระหนักว่า การยกเลิกการเอาผิดทางอาญาเปนองค์ประกอบสำคัญในการแก้ปญหา ประเทศต่างๆ ได้แสดงความมุ่งมั่นว่าในป พ.ศ. 2568 การใช้กฎหมายลงโทษและนโยบายแวดล้อมที่ส่งผลกระทบต่อการแก้ไขปญหาเอดส์จะลดลงเหลือน้อยกว่า 10 เปอร์เซ็นต์
อย่างไรก็ตาม แม้จะมีการปฏิรูปกฎหมายและนโยบายอยู่บ้าง แต่โลกก็ยังห่างไกลจากความสำเร็จตามเป้าหมาย รายงานของยูเอนเอดส์ระบุข้อเท็จจริงว่า ปจจุบันนี้ มี 134 ประเทศที่กำลังดำเนินการเอาผิดทางอาญาอย่างชัดเจนหรือดำเนินคดีกับการไม่เปดเผยสถานะของการมีเอชไอวีและทำให้เกิดการรับหรือส่งผ่านเอชไอวี มี 20 ประเทศที่เอาผิดทางอาญา และ/หรือดำเนินคดีกับคนข้ามเพศ มี 153 ประเทศที่กำหนดให้งานบริการทางเพศเปนความผิดทางอาญาในแง่ใดแง่มุมหนึ่งเปนอย่างน้อย และมี 67 ประเทศที่เอาผิดทางอาญากับการมีเพศสัมพันธ์ของเพศเดียวกันที่สมัครใจ นอกจากนี้ มี 48 ประเทศที่ยังคงกำหนดข้อห้ามไม่ให้ผู้อยู่ร่วมกับเอชไอวีเดินทางข้ามพรมแดนของตน ในขณะที่ 53 ประเทศรายงานว่าต้องการให้มีการบังคับตรวจหาสถานะของการมีเอชไอวี เช่น เพื่อการจดทะเบียนสมรส หรือการประกอบอาชีพบางอาชีพ มี 106 ประเทศรายงานว่า วัยรุ่นที่ต้องการเข้าถึงการตรวจหาสถานะของการมีเอชไอวีจะต้องได้รับความยินยอมจากผู้ปกครอง
การเอาผิดทางอาญาส่งผลให้เกิดการเลือกปฏิบัติและความไม่เท่าเทียมกันทางโครงสร้าง การเอาผิดทางอาญาปล้นเอาโอกาสการมีชีวิตที่แข็งแรง สมบูรณ์ไปจากผู้คน และถ่วงรั้งการยุติปญหาเอดส์
— ยุติการเอาผิดทางอาญาที่เกี่ยวข้องกับเอชไอวี เพื่อรักษาชีวิต เพื่อยุติเอดส์ –
เนื่องในวันยุติการเลือกปฏิบัติ วันที่ 1 มีนาคม พวกเราเฉลิมฉลองสิทธิของทุกคนในการใช้ชีวิตอย่างเต็มที่ มีประสิทธิผล และดำรงชีวิตอย่างมีศักดิ์ศรี วันยุติการเลือกปฏิบัติให้ความสำคัญเรื่องการทำให้ผู้คนได้รับข้อมูลที่ครบถ้วน และส่งเสริมการเข้าร่วม ความเห็นอกเห็นใจ สันติภาพ และเหนือสิ่งอื่นใดคือความเคลื่อนไหวเพื่อการเปลี่ยนแปลง วันยุติการเลือกปฏิบัติกำลังช่วยสร้างความเคลื่อนไหวบนความสมานฉันท์เพื่อยุติการเลือกปฏิบัติทุกรูปแบบ
ระบบชายเป็นใหญ่หรือปิตาธิปไตย (Patriarchy) เป็นคำที่ใช้อธิบายระบบสังคมที่เอื้อให้เพศชาย หรือ ‘ความเป็นชาย’ ไม่ว่าจะอยู่ในฐานะอะไร เช่น พ่อ สามี ลูกชายที่มีสิทธิมีอำนาจเหนือเพศอื่น หรือแนวคิดที่เพศชายเป็นศูนย์กลางของสังคมเป็นผู้นำ ระบบนี้จะมอบอำนาจและโอกาสเข้าถึงทรัพยากรต่างๆ ให้กับความเป็น ‘ชาย’ มากกว่าเพศอื่นๆ
แม้ว่าชื่อของระบบที่ครอบโลกนี้ไว้คือ ‘ชายเป็นใหญ่’ แต่ทุกเพศทุกวัยก็สามารถรับวิธีคิดแบบจู๋เป็นเจ้าโลกมาปรับใช้ได้เหมือนกัน (ทั้งรู้ตัวหรือไม่รู้ตัวก็ตาม) เช่น ผู้หญิงที่สวมบทบาทเป็นตำรวจศีลธรรม คอยจับตาตรวจสอบว่าผู้หญิงด้วยกันเองแต่งตัวสุภาพเรียบร้อยหรือเปล่า เป็นกุลสตรีไหม เป็นแม่ที่ดีของลูก เป็นภรรยาที่ดีของสามีหรือไม่ และส่งต่อความคิดเป็นลูกสาวต้องทำงานบ้าน เกย์ไม่ชอบกะเทยเพราะมองว่าสาวกว่า ไม่ชอบเกย์ที่ออกสาวกว่าตัวเอง หรือเป็นเกย์ต้องแมนๆ ไปกันแบบรุ่นสู่รุ่น
LGBTQ ในสถาบันชาติที่เป็นรัฐผู้ชาย
อันเนื่องจากความสัมพันธ์เชิงอำนาจที่เพศสภาพของชายรักต่างเพศถูกยกให้มีคุณค่าความหมายสูงกว่า ถูกทำให้กลายเป็นสถาบันหลักๆ เช่น ศาสนา เศรษฐกิจ การเมือง การศึกษา ครอบครัว ศาล ทหาร การทูต รัฐจึงกลายเป็น ‘รัฐผู้ชาย’ (male state) ทำหน้าที่เป็นทั้งผู้ส่งสารรับใช้หรือเป็นตัวแทนของระบบปิตาธิปไตย และก่อตั้งขึ้นเพื่อผลประโยชน์เฉพาะผู้ชายรักต่างเพศมากกว่า และรัฐด้วยตัวของมันเองคือผู้กดขี่ในฐานะโครงสร้างอำนาจแบบชายเป็นใหญ่ ผู้หญิงและเพศสภาพอื่นๆ กลายเป็นเพียงชนกลุ่มน้อย คนชายขอบที่โอกาสในการเข้าถึงทรัพยากรน้อยกว่า และถูกให้คุณค่าความหมายต่ำกว่า
สถาบันเช่นนี้ไม่เพียงสร้างโครงสร้างที่เอื้อให้เพศชายมีอำนาจบทบาทเหนือเพศอื่นๆ แต่ยังแยกชายรักต่างเพศออกจากผู้หญิงและชายรักเพศเดียวกัน เป็นพื้นที่สังคมที่มีแหล่งกำเนิดดั้งเดิมเป็นสังคมชายล้วน หรือแม้ว่าต่อมาจะเริ่มมีสมาชิกหญิงหรือเกย์แฝงเข้ามาแต่ก็ยังจะคงเป็นสถาบันในนามของผู้ชายรักต่างเพศ นำไปสู่การสร้างชนชั้นและความเหลื่อมล้ำในโครงสร้างทางเศรษฐกิจการเมืองสังคมในรูปแบบที่สร้างความชอบธรรมให้มีอำนาจเหนือกว่าผู้หญิงและรวมไปถึงชายรักเพศเดียวกัน ซึ่งกลายเป็นโครงสร้างในทุกๆ วัฒนธรรมบนพื้นที่สาธารณะ
ยิ่งไปกว่านั้น การรวมกลุ่มเป็นสังคมผู้ชายก็เกิดมาจากความหวาดกลัวและรังเกียจคนรักเพศเดียวกัน โดยทางจิตวิทยาที่เรียกว่า ‘homosexual panic’ ซึ่งแท้จริงเป็นเพียงข้ออ้างหรือคำแก้ตัวของผู้ที่รังเกียจคนรักเพศเดียวกัน ซึ่งโดยส่วนใหญ่มักเป็นผู้ชาย ที่ใช้ในการป้องกันตนเองจากข้อกล่าวหาทั้งทางกฎหมายหรือสังคม เพื่อให้ได้รับบทลงโทษน้อยลงจากการโจมตีทำร้ายใช้ความรุนแรงต่อคนรักเพศเดียวกัน หรือเพื่อไม่ให้ถูกโจมตีคุกคามกลับ เป็นความหวาดกลัวอันเกิดจากความไม่มั่นคงในเพศสภาพและสถานะ ‘ความเป็นชาย’ ของตนเอง หรือเป็นความเจ็บป่วยทางจิตใจส่วนบุคคล
ศาสนาจากรากเหง้าชายเป็นใหญ่ มีมุมมองอย่างไรต่อ LGBTQ
“ไม่ตรงเพศสภาพกำเนิด = บาป”
เมื่อความหลากหลายทางเพศถูกมองเป็นเรื่องผิดหลักศาสนา ถูกอ้างด้วยศีลธรรมอันดี
“กฎหมายใดก็ตามที่ตราขึ้นมาแล้วขัดหรือแย้งกับพระมหาคัมภีร์อัลกุรอาน ซึ่งมีการถือปฏิบัติมาแล้ว 1,400 กว่าปี และไม่มีการแก้ไขแล้ว เราไม่สามารถที่จะรับได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในข้อที่ 7 ให้คู่สมรสเพศเดียวกัน สามารถจดทะเบียนสมรสโดยชอบด้วยกฎหมาย ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์สามารถรับผู้เยาว์ได้”
ซูการ์โน มะทา ส.ส.จังหวัดยะลา พรรคประชาชาติ อภิปรายตอนหนึ่งถึงร่าง พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ หรือกฎหมายสมรสเท่าเทียม
ในวันที่ 15 มิถุนายน 2565 ที่ผ่านมา ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรมีมตินัดพิจารณาว่าจะรับหลักการร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1448 หรือที่เรียกกันว่าร่าง พ.ร.บ.สมรสเท่าเทียม ที่มีเนื้อหาสำคัญหลักๆ คือการเปลี่ยนข้อความในกฎหมายที่ระบุว่า ‘ชาย’ กับ ‘หญิง’ สามารถสมรสกันได้ เปลี่ยนเป็น ‘บุคคล’ กับ ‘บุคคล’ สามารถสมรสกันได้ รวมถึงการเปลี่ยนคำว่า ‘สามีและภรรยา’ ให้เหลือเพียงแค่ ‘คู่สมรส’ และกฎหมายฉบับนี้จะทำให้คู่สมรสทุกคู่มีสิทธิขอรับเลี้ยงดูบุตรบุญธรรมร่วมกันได้
นอกจากนี้ยังมีการหยิบยกถึงหลักการทางศาสนาต่างๆ ที่ชี้ให้เห็นว่า การที่บุคคลหนึ่งไม่ตรงเพศสภาพกำเนิดถือเป็นสิ่งแปลก ผิดธรรมชาติ หรือเป็นบาป เช่น อิสระ เสรีวัฒนวุฒิ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวตอนหนึ่งขณะรับร่างอภิปราย พ.ร.บ. สมรสเท่าเทียมว่า ไม่เห็นด้วยกับร่างของกระทรวงยุติธรรม เพราะมีการจำกัดว่าคู่ชีวิตต้องเป็นเรื่องระหว่างเพศเดียวกันเท่านั้น และคู่สมรสต้องเป็นเรื่องระหว่างชายกับหญิงเท่านั้น เพราะเป็นหลักธรรมชาติ การแต่งงานของเพศอื่นจึงไม่ใช่หลักธรรมชาติ ไม่ใช่เรื่องปกติ จำเป็นต้องมีกฎหมายพิเศษบังคับใช้ คือ ร่าง พ.ร.บ.คู่ชีวิตของกระทรวงยุติธรรม
คัมภีร์อัลกุรอานระบุว่า เพศสัมพันธ์คือของขวัญจากพระเจ้า ควรจะเกิดขึ้นระหว่างการสมรสของชายกับหญิงเท่านั้น อิสลามจึงไม่ยอมรับความหลากหลายทางเพศเพราะเห็นว่าผิดธรรมชาติและไม่เป็นไปตามประประสงค์ของพระเจ้า
คัมภีร์ไบเบิล มีบัญญัติหลายข้อที่กล่าวว่าการรักร่วมเพศ = บาป การมีเพศสัมพันธ์กับเพศเดียวกันเป็นบาป การใช้เครื่องแต่งกายของเพศตรงข้ามเป็นที่พึงรังเกียจแด่พระเจ้า
แม้ว่าพระไตรปิฎกจะไม่มีบัญญัติไหนเขียนว่าการเป็นคนรักเพศเดียวกันเป็นบาป หรือการไม่ตรงเพศสภาพกำเนิดเป็นสิ่งขัดต่อหลักคำสอนแบบตรงๆ แต่ศาสนาพุทธได้ส่งต่อชุดความคิดที่ว่าการเป็นเกย์ ทอม ดี้ เป็นบุคคลที่ทำบาปในชาติที่แล้ว
คนที่เกิดและมีเพศตรงกับสภาพกำเนิดนั้น ชาติที่แล้วเป็นชายที่รักษาศีลข้อที่ 3 ไม่เจ้าชู้ไม่ผิดลูกเมีย ส่วนผู้หญิงชาติที่แล้วทำบุญมาเหมือนผู้ชาย แต่ในอดีตชาติเคยผิดศีลกาเม สุมิจฉาจาร จึงเกิดมาเป็นเพศหญิง สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่าทางพุทธศาสนามีการเหยียด ‘ทุกเพศ’ โดยอาจตีความได้ว่า การที่ไม่ได้เกิดมาเป็นเพศชายหรือเพศสภาพไม่ตรงเพศกำเนิด คือการทำบาปทำกรรมมามากว่าเพศชาย และคนที่เกิดมาเป็นเพศชายนั้นชาติที่แล้วทำบุญมามากเป็นผู้บริสุทธ์
การรังเกียจเพศเดียวกันในพุทธศาสนาไม่แตกต่างจากศาสนาในตะวันตก แต่พุทธศาสนานั้นรังเกียจผู้หญิงอย่างมาก และถูกทำให้ถูกต้องผ่านคำสอนในพุทศาสนาทั้งเถรวาทและมหายาน ซึ่งไม่ใช่เพียงแต่การรังเกียจเพศหญิง แต่อะไรก็ตามที่เกี่ยวกับผู้หญิงหรือมีลักษณะแนวโน้มไปทางผู้หญิงก็จะถูกรังเกียจด้วย ดังนั้น เกย์บางคนที่มีลักษณะเหมือนผู้หญิงก็จะถูกรังเกียจหรือเลือกปฏิบัติไปด้วย
เพศหลากหลายหรือชายเป็นใหญ่? ในสื่อบันเทิง
จากบทความเรื่อง “ภาพจำของซีรีส์วายในประเทศไทย: เมื่อความเป็นจริงไม่ใช่สิ่งที่ปรากฏบทหน้าจอ” โดย สิทธิศักดิ์ บุญมั่น (2564) ได้กล่าวตอนหนึ่งว่า จากการสำรวจซีรีส์วายไทยที่ออกอากาศในปี 2020 และต้นปี 2021 ของ Rocket Media Lab บนแพลตฟอร์มไลน์ทีวี ทั้งหมด 13 เรื่อง พบว่าเกือบทั้งหมดยังคงเสนอภาพของชายตรงเพศ (Straight) ที่รักกัน และทั้ง 100% จะต้องมีฝ่ายหนึ่งที่ดูมีความเป็นชายมากกว่าอีกฝ่าย ซึ่งการนำเสนอเนื้อหาที่มีแต่ความเกี่ยวข้องกับเพศชายนั้นสร้างภาพจำให้คนดูยึดติดว่านักแสดงจะต้องเป็นชายตรงเพศเท่านั้น การนำเอานักแสดงที่อยู่ในกลุ่มชายรักชายมาเล่นซีรีส์วายกลับกลายเป็นเรื่องที่ผิดแปลก และนับเป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้กลุ่มคนผู้มีความหลากหลายทางเพศถูกกีดกันให้กลายเป็นคนชายขอบ หรือหากเป็นตัวละครที่มีลักษณะอ่อนหวาน (Feminine) ก็อาจได้รับบทบาทสำคัญในเรื่อง แต่ก็ต้องถูกนำเสนอในลักษณะเป็นตัวตลก สิ่งที่เกิดขึ้นนี้ล้วนแต่สะท้อนชุดความคิดที่ผู้ชายต้องเป็นใหญ่เท่านั้น
แม้จะมีจุดขายเรื่องความรักชาย-ชาย แต่สิ่งที่ซีรีส์วายอาจทำได้ คือการไม่ละทิ้งกลุ่มคนหลากหลายทางเพศไว้ข้างหลัง หรือเลือกนำเสนอเพียงนักแสดงที่เป็น ‘สเตรต’ (Straight) เท่านั้น เพราะการบอกเล่าเรื่องราวจากกลุ่มคนหลากหลายทางเพศจริง ๆ อาจสร้างการขับเคลื่อนและความเสมอภาคทางสังคมได้ดีกว่า หรือการพูดคุยอัตลักษณ์ทางเพศอื่น ๆ ที่มากกว่าชาย-ชาย ที่อยู่ในสังคมเช่นเดียวกันก็เป็นเรื่องสำคัญไม่น้อยไปกว่ากัน
LGBT เป็นคำที่หลาย ๆ คนรู้จัก แต่แท้ที่จริงแล้วนิยามความหมายของคนหลากหลายทางเพศไม่ได้มีเพียงแค่นั้น แต่ยังรวมไปถึง QIAN+ แล้วทำไมซีรีส์ไทยถึงให้ความสำคัญแค่ความรักของชาย–ชายเท่านั้น ในเมื่อยังมีกลุ่มคนหลากหลายทางเพศที่มากกว่าความรักชาย–ชาย
แหล่งอ้างอิง
แปลและเรียบเรียง จาก https://www.psychologytoday.com/us/basics/relationships/love-and-sex
ความสัมพันธ์ทางเพศเป็นส่วนสำคัญของความสัมพันธ์ แต่ก็ไม่เสมอไปอย่างที่คนทั่วไปคิด ในระยะยาว คู่รักส่วนใหญ่จะเผชิญกับความท้าทายทางเพศ เนื่องจากร่างกายเปลี่ยนแปลงไปตามอายุและความต้องการทางเพศของแต่ละคนก็ลดลงเรื่อยๆ การวิจัยแสดงให้เห็นอย่างต่อเนื่องว่าคู่รักส่วนใหญ่มีปัญหาในการพูดเรื่องเพศอย่างตรงไปตรงมา แต่เมื่อพวกเขาพูดออกไป ก็จะทำให้พวกเขาใกล้ชิดกันมากขึ้น ความรักทำให้คนเรามาพบกัน แต่การจะอยู่ร่วมกันต้องใช้เวลามากกว่า
พลังแห่งความรัก ( The Power of Love)
ความสัมพันธ์แบบคู่รักอาจเป็นเรื่องของความเป็นความตาย การมีความสัมพันธ์แบบเกื้อกูล มีแนวโน้มป้องกันให้ความรักนั้นคงอยู่ ในขณะที่ความสัมพันธ์ที่เป็นพิษนั้นสร้างความเสียหายมากกว่าการไม่มีความสัมพันธ์เลย แต่ความรักเป็นสิ่งที่ตอบแทนซึ่งกันและกันเสมอ และจะคงอยู่ได้ก็ต่อเมื่อทั้งคู่เต็มใจเปิดเผยและซื่อสัตย์ต่อกัน แสดงความขอบคุณ แบ่งปันความคิดและความรู้สึก และขอการสนับสนุนมากกว่าพยายามทำคนเดียว เรามักเชื่อว่าพวกเรากำลังรักษาชีวิตคู่ของตนโดยเก็บปัญหาไว้ใต้พรม แต่พอพบว่าคนที่เรารักที่สุด ไม่ไว้วางใจหรือขอความช่วยเหลือจากเรา มันทำให้เราเจ็บปวดอย่างสุดซึ้ง
รักคืออะไร?
ความรักโรแมนติกอาจถูกมองว่าเป็นการปรับตัวเชิงวิวัฒนาการ ซึ่งเป็นพลังที่เพิ่มโอกาสในการส่งต่อยีนไปยังคนรุ่นต่อไปในอนาคต นอกจากนี้ยังเป็นพลังที่ช่วยให้คู่สัมพันธ์ สามารถอยู่ด้วยกันได้ในระยะยาว บางคนระบุว่ามันเป็นแรงอะไรสักอย่างที่ดึงดูดผู้คนเข้าหากัน แม้จะไม่อาศัยความรู้สึกโรแมนติกที่รุนแรงก็ตาม โดยผ่านสิ่งที่เรียกว่า “เพียงการเปิดเผย/สัมผัสซ้ำๆ” และบางคนที่อ้างถึงคำจำกัดความและบริบทความรักที่แตกต่างกันจากต่างช่วงเวลาและต่างวัฒนธรรม อธิบายว่ามันเป็นเพียงโครงสร้างทางสังคมวัฒนธรรม
ความรักต้องการความหลงใหลหรือไม่? ( Love vs Passion)
บางคนนิยามความรักว่ามีองค์ประกอบสามประการ ได้แก่ ความใกล้ชิด ความมุ่งมั่น และความหลงใหล แต่หลายคู่กังวลว่าความหลงใหลของพวกเขาจะลดลงในช่วงหลายปีที่ผ่านไป ทำให้ความสัมพันธ์ปลอดภัยน้อยลง อย่างไรก็ตาม การวิจัยพบว่า passion ที่ลดลงในตัวมันเอง เป็นปัญหาน้อยกว่าความเชื่อของคู่รักที่ว่าเมื่อลดลงแล้วจะไม่สามารถกู้คืนได้ คู่ที่เข้าใจว่าใดใดในโลกมีขึ้นมีลง มีแนวโน้มที่จะจุดไฟอีกครั้งและอยู่ด้วยกันได้
พลังของเซ็กส์ (The Power of Sex)
เซ็กส์เป็นส่วนสำคัญของความสัมพันธ์หลายๆ อย่าง การวิจัยพบว่า แม้ว่าการมีเซ็กส์เป็นประจำจะช่วยประสานความผูกพันทางอารมณ์ของคู่รัก แต่สิ่งที่สำคัญคือสิ่งที่แสดงออกต่อความสัมพันธ์ เช่น การเปิดเผย ความโปร่งใส การสื่อสารในเชิงบวก สิ่งที่เกิดขึ้นหลังการมีเพศสัมพันธ์ก็มีความสำคัญเช่นกัน พบว่า หากมีความพึงพอใจหลังมีเพศสัมพันธ์ อาจทำให้คู่นอนรู้สึกดีขึ้นต่อกันและกัน เป็นเวลาหลายสัปดาห์หรือหลายเดือน คู่รักหลายคนกังวลว่าเหตุใดพวกเขามีเพศสัมพันธ์ไม่บ่อยเท่าที่เคยมีมา หรือว่าพวกเขาจำเป็นต้องเรียนรู้เทคนิคใหม่ๆ หรือไม่
อะไรคือกุญแจสู่เซ็กส์ที่ดี?
กุญแจสู่ชีวิตเซ็กส์ที่ดีคือการสามารถอยู่ในช่วงเวลานั้น สื่อสารกันตรงๆ เกี่ยวกับความต้องการทางเพศของพวกเขา และมีความเห็นอกเห็นใจ เปิดใจที่จะลองสิ่งใหม่ๆ ด้วยกัน
เรามีเพศสัมพันธ์เพียงพอหรือไม่?
ผู้เชี่ยวชาญหลายคนแนะนำว่าการมีเพศสัมพันธ์ไม่บ่อยนักหรือแทบไม่มี ไม่เป็นปัญหาสำหรับคู่รัก ตราบใดที่พวกเขาพบว่าความสัมพันธ์ของพวกเขาน่าพึงพอใจและเชื่อว่าพวกเขากำลังมี มีเพศสัมพันธ์เพียงพอ
การมีเซ็กส์ทำให้คู่รักมีความสุขมากขึ้นจริงหรือ?
อาจจะไม่ ในการทดลอง เมื่อคู่สามีภรรยาถูกขอให้เพิ่มความถี่ในการมีเพศสัมพันธ์ตามปกติเป็นสองเท่า ส่วนใหญ่ไม่ปฏิบัติตาม และผู้ที่สามารถทำได้ ก็มีไม่รายงานว่ามีความพึงพอใจทางเพศมากขึ้น กล่าวอีกนัยหนึ่ง สำหรับคู่รักส่วนใหญ่ เมื่อเป็นเรื่องของเซ็กส์ คุณภาพมีความสำคัญมากกว่าปริมาณ
เซ็กซ์ที่ดีจะทำให้ชีวิตคู่รอดหรือไม่?
สามารถทำได้ แต่คู่รักควรเข้าใจบทบาทของเซ็กส์ในความสัมพันธ์ ความสัมพันธ์ทางเพศที่มีคุณภาพสูงโดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงต้นของความสัมพันธ์ เป็นรากฐานสำหรับความยั่งยืนในระยะยาว แม้ความพึงพอใจทางเพศจะเริ่มลดลงในหลายๆ ความสัมพันธ์ ความพึงพอใจโดยรวมก็ยังคงสูงอยู่ แต่เมื่อระดับความปรารถนาของคู่นอนเริ่มแตกต่างกันอย่างมาก ก็ต้องหันมาคำนึงและปรึกษาร่วมกัน
คู่รักจะค้นพบความหลงใหล (Passion) อีกครั้งได้อย่างไร?
สำหรับบางคู่ที่ไม่ใช่ส่วนใหญ่ เซ็กส์ครั้งแรกที่เร่าร้อนเป็นสิ่งสำคัญของชีวิตเซ็กส์ที่ดีต่อสุขภาพ แต่คู่รักหลายคนในความสัมพันธ์ระยะยาวพบว่าตัวเองถอยห่างจากเซ็กส์ที่เร่าร้อน อาจเป็นเพราะพวกเขาไม่ต้องการใช้ความพยายามหรือเพราะพวกเขาพูดไม่ออก ผู้เชี่ยวชาญบางคนแนะนำว่า ให้พูดถึงเรื่องนี้อย่างเปิดเผย ปล่อยให้ตัวเองแสดงตัวตนดั้งเดิมออกมา และเรียนรู้ที่จะอดทนต่อกัน
คู่นอนจะคุยเรื่องเพศที่ “แหวกแนว” (unconventional sex) ได้อย่างไร?
จริงๆแล้วเรามันไม่ยากที่จะเรียนรู้ว่า เซ็กส์ที่ “แหวกแนว” ส่วนใหญ่เป็นเรื่องปกติธรรมดา การสำรวจพบว่าคู่รักส่วนใหญ่มี การเล่นเซ็กส์แบบพิลึกพิลั่น หรืออย่างน้อยก็มีจินตนาการเกี่ยวกับเรื่องนี้ คู่รักที่เข้าใจสิ่งนี้และกังวลน้อยลงเกี่ยวกับการละเมิดบรรทัดฐาน จะสามารถพูดคุยเกี่ยวกับความปรารถนาของพวกเขาและมีแนวโน้มที่จะรักษาความสัมพันธ์ที่น่าพอใจ
ฉันจะทำอย่างไรหากคู่นอนไม่ตอบสนองความต้องการทางเพศของฉัน
คนๆ หนึ่งจำเป็นต้องมีเพศสัมพันธ์บ่อยขึ้นกับคู่นอนที่มีแรงขับทางเพศสูง แม้ว่าพวกเขาจะไม่พอใจ หรือไม่? และหากอีกฝ่ายไม่เต็มใจ คู่นอนอีกฝ่ายก็สมควรที่จะแสวงหาเซ็กส์ที่อื่นหรือไม่? ก่อนที่ใครก็ตามจะเริ่มต้นความสัมพันธ์หรือเดินออกจากความสัมพันธ์ คู่iรัก/คู่นอน ควรหารือเกี่ยวกับความต้องการที่ยังไม่ได้รับการตอบสนอง และดูว่าการยุติความสัมพันธ์นั้นสมเหตุสมผลหรือไม่ หรือมีความเข้าใจใหม่บางอย่างหรือไม่
คู่รักสามารถอยู่ด้วยกันได้แม้ว่าพวกเขาจะหยุดมีเพศสัมพันธ์หรือไม่?
ความสัมพันธ์ระยะยาวสามารถเติบโตได้โดยมีเซ็กส์เพียงเล็กน้อยหรือไม่มีเลย ตราบใดที่ทั้งคู่ตกลงกับมัน บ่อยครั้งที่คู่หนึ่งหรืออีกฝ่ายหนึ่งมีแรงขับทางเพศที่ลดลงมากหรือมีความถี่ของเพศสัมพันธ์ลดลงมากในระยะยาว เมื่อสิ่งนี้เกิดขึ้น มันจะสร้างแรงกดดันอย่างมากต่อกันและกัน และนำไปสู่ภาวะที่ไม่มีความสุขซึ่งฝ่ายหนึ่งไล่ตามอีกฝ่ายอยู่ตลอดเวลา ซึ่งความเหลื่อมล้ำดังกล่าวควรได้รับการบำบัด
เรียบเรียงโดย
คุณนิฑากรณ์ ดำรักษ์ เจ้าหน้าที่ให้คำปรึกษา คลินิกเทคนิกการแพทย์แคร์แมท
ผู้เชี่ยวชาญทางวิชาชีพด้านแพทย์แผนไทย
เชื่อว่าผู้ชายหลายคนกำลังมองหาตัวช่วยในการบำรุงสมรรถนะทางเพศของตัวเอง นอกจากให้ฟิตปั๋งแล้ว ยังมองหาสิ่งที่จะช่วยเสริมความพึงพอใจของตนเองและคู่นอน รวมถึงการสืบพันธุ์ นั่นคือน้ำอสุจิ จะกินอะไรให้น้ำอสุจิเยอะ ให้ปริมาณอสุจิเยอะ ให้มีความแข็งแรง วันนี้เราขอเสนอเป็น เมนู อาหาร คืออะไร มาดูกันเลยจ้า
Starter เรียกน้ำย่อยกันด้วยสลัดผลไม้ ในสลัดของคุณหากเพิ่มเมล็ดฟักทองลงไป จะเป็นประโยชน์มาก
เมล็ดฟักทองเป็นอาหารบำรุงระบบเจริญพันธุ์ที่ทานได้ทั้งสามีและภรรยา อุดมไปด้วยธาตุเหล็กซึ่งถ้าหากทานบ่อยๆ เป็นประจำจะช่วยเพิ่มโอกาสการตั้งครรภ์ให้สูงขึ้นมากกว่าถึง 40% ช่วยกระตุ้นอารมณ์ทางเพศบำรุงลูกอัณฑะ บำรุงน้ำเชื้อและอสุจิ รักษาอาการต่อมลูกหมากโต แต่ควรหลีกเลี่ยงการทานเมล็ดฟักทองอบเกลือ เพื่อป้องกันโซเดียมเกินและอาการบวมน้ำ ดังนั้นฝากอยากมีลูกเร็วๆ อสุจิแข็งแรงไวๆ ควรทานเมล็ดฟักทองเป็นประจำ
จากนั้น Main course ที่แนะนำคือ สปาเก็ตตี้เนื้อสับ หรือไม่ก็ ออส่วนหรือหอยทอด ส่วนประกอบที่ช่วยบำรุงอสุจิ ได้แก่
2. กระเทียม
อาหารในชีวิตประจำวันของเรา โดยเฉพาะอาหารไทย มีกระเทียมเป็นส่วนผสมอยู่แล้ว ในสปาเก็ตตี้ที่เพิ่มกระเทียมเข้าไป ก็จะช่วยเพิ่มกลิ่นและรสให้กลมกล่อมขึ้น แถมยังบำรุงอสุจิได้ด้วย
แม้ใครหลายๆ คนมักจะเลี่ยงหลีกการทานกระเทียมเนื่องจากกังวลเรื่องกลิ่นที่ตกค้างในช่องปาก แต่หากมองข้ามเรื่องกลิ่นไปได้ จะรู้เลยว่ากระเทียมนั้นอุดมไปด้วยวิตามินนานาชนิดที่เป็นอาหารบำรุงอสุจิ ช่วยให้อสุจิแข็งแรงแล้ว ช่วยบำรุงรักษาเชื้ออสุจิให้แข็งแรงขึน และยังช่วยปรับระบบไหลเวียนของเลือดไปเลี้ยงบริเวณอวัยวะเพศให้ดี สามารถปฏิบัติภารกิจได้อย่างยาวนานมากขึ้น แต่สำหรับใครที่กังวลเรื่องกลิ่นจริงๆ ก็สามารถหลีกเลี่ยงการทานกระเทียมสดๆ แล้วเลือกซื้ออาหารเสริมที่เป็นกระเทียมแคบซูลหรือกระเทียมอัดเม็ดแทนได้
3. เนื้อวัว
การรับประทานเนื้อวัวเป็นประจำทุกวัน จะช่วยเพิ่มปริมาณการผลิตและความแข็งแรงของอสุจิให้มากขึ้นกว่าเดิม แถมยังช่วยเรื่องการเคลื่อนไหวให้รวดเร็วยิ่งขึ้น โดยมีผลการศึกษาจาก European Academy of Andrology ด้วยว่า ผู้ชายที่ทานเนื้อวัวทุกวัน มีน้ำเชื้อที่อสุจิเข้มข้นและมีการเคลื่อนไหวที่ดีด้วย
4. มะเขือเทศ
มะเขือเทศเต็มไปสารไลโคปีนที่ช่วยบำรุงน้ำเชื้อและตัวอสุจิให้แข็งแรงให้มีมากกว่าปกติถึง 70% อีกทั้งให้ช่วยบำรุงการทำงานของระบบเจริญพันธุ์ของฝ่ายชาย ช่วยปรับสมดุลต่อมลูกหมาก ลดความเสี่ยงที่จะเป็นมะเร็งต่อมลูกหมากได้ด้วย
5. ไข่
อาหารบำรุงอสุจิที่ราคาถูก อีกทั้งยังหาทานได้ทั่วไป เพราะอุดมไปด้วยโปรตีน วิตามิน A วิตามิน B1 วิตามิน B2 วิตามิน D แคลเซียม วิตามิน E กรดอะมิโน และธาตุเหล็กที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย เพียงคุณผู้ชายทานไข่ประจำทุกวันก็จะช่วยเสริมสมรรถภาพทางเพศได้ดี ช่วยการรักษาระดับฮอร์โมนของผู้ชาย และยังช่วยเพิ่มความแข็งแรง ปกป้องเซลล์อสุจิและปริมาณให้กับอสุจิไม่ให้เสื่อมง่ายได้อย่างดีเยี่ยม
6. หอยนางรม
อาหารสดที่หลายคนชอบทานอย่าง “หอยนางรม” นั้นไม่ได้มีดีแค่รสชาติอร่อยและเป็นอาหารกระตุ้นสมรรถภาพทางเพศที่ดี เต็มไปด้วยโปรตีน โอเมก้า 3 วิตามิน E วิตามิน D วิตามิน วิตามินB12 ธาตุเหล็ก ทองแดง และเซเลเนียมสำหรับฝ่ายผู้หญิงที่ทานจะช่วยบำรุงระบบเจริญพันธุ์ รังไข่ และมดลูก และสำหรับฝ่ายผู้ชายจะช่วยเพิ่มการผลิตและบำรุงอสุจิให้แข็งแรง และยังช่วยให้ปฏิบัติภารกิจได้ยาวนานมากขึ้นด้วย
กินคาวไม่กินหวาน ก็กะไรอยู่ ของหวานที่เรานำเสนอคือถั่วต้มน้ำตาลนั่นเอง หากใครไม่ชอบถั่ว ก็ลองเมนู กล้วย/ กล้วยหอมกับช็อคโกแลตสักหน่อย
เครื่องดื่มจะขาดได้อย่างไร มิกซ์เบอร์รี่สมูทตี้ นี่ไง สดชื่น
7. ถั่ว
ถั่วเหลือง ถั่วแดง ถั่วปากอ้า ถั่วพู วอลนัท เป็นอาหารบำรุงอสุจิที่ใครที่อยากให้เชื้อแข็งแรง เคลื่อนไหวรวดเร็ว ต้องทานเยอะๆ เพราะอุดมไปด้วยสารอาหารที่เป็นประโยชน์ต่ออสุจิ ทั้งโปรตีน โอเมก้า 3 ซิงค์และวิตามินอี ที่ช่วยในเรื่องการเพิ่มปริมาณอสุจิให้แข็งแรงสมบูรณ์ ช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ได้อย่างเต็มที่อีกด้วย
8. กล้วย
สำหรับใครที่กำลังมองหาอาหารที่ช่วยบำรุงอสุจิและช่วยให้อิ่มท้องได้นาน กล้วยถือว่าเป็นผลไม้ที่เหมาะมากเพราะอุดมไปด้วยแร่ธาตุ วิตามิน A, B1 และ C วิตามิน เกลือแร่ โพแทสเซียมสูง กรดอะมิโน ธาตุเหล็ก น้ำตาลซุกโคส ฟรุคโตสและกลูโคส ที่ร่ายการนำไปใช้ได้ทันที และยังช่วยปรับสมดุลระบบเจริญพันธุ์ช่วยในเรื่องการผลิตน้ำเชื้อที่มีความเข้มข้นมากขึ้นและช่วยให้อสุจิแข็งแรงว่ายได้อย่างรวดเร็ว
9. ช็อคโกแลต
การทานช็อคโกแลตทุกวันเป็นของว่าง โดยเฉพาะดาร์กช็อกโกแลตเป็นการบำรุงอสุจิโดยตรง เนื่องจากในช็อกโกแลตนั้นทำมาจากโกโก้ที่อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยเพิ่มการผลิตน้ำเชื้อให้มีอสุจิมีปริมาณมากขึ้น ช่วยให้ระบบไหลเวียนเลือดทำงานได้ดี ช่วยให้อสุจิว่ายได้อย่างว่องไว และยังมีช่วยให้แต่ละครั้งในการหลั่งน้ำเชื้ออกมาให้มีปริมาณมากๆ ช่วยเพิ่มโอกาสให้มีลูกได้ง่ายขึ้น ช่วยกระตุ้นอารมณ์ทางเพศได้อย่างดีและยังช่วยให้เวลาประกอบกิจกรรมทางเพศจะช่วยให้รู้สึกดีเพิ่มมากกว่าเดิมอีกด้วย
10. ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่
หากต้องการให้น้ำเชื้อเต็มไปด้วยอสุจิแข็งแรงเข้มข้นช่วยให้มีลูกง่ายๆ ควรทานผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ที่มีวิตามิน C สูง เพราะผลไม้เหล่านี้มีส่วนช่วยสร้างกรดอะมิโนที่ช่วยระบบเจริญพันธุ์ให้สามารถผลิตและว่ายน้ำได้อย่างรวดเร็ว ดังนั้นควรทานผลไม้ตระกูลเบอร์รี่อย่างบลูเบอร์รี สตรอว์เบอร์รี ราสเบอร์รี แบล็กเบอร์รี หรือโกจิเบอร์รี เป็นประจำ
ตัวเสริม !!
ถ้าไม่ดื่มน้ำเปล่า ร่างกายจะสร้างน้ำลาย น้ำมูก น้ำตา น้ำเลือด น้ำหล่อลื่น และน้ำอสุจิได้อย่างไร
เครื่องดื่มที่หาง่ายและมีประโยชน์ต่อร่างกายอย่างมาก เพียงคุณผู้ชายหรือให้สามีของคุณดื่มน้ำเปล่าเป็นประจำทุกวันละ 8 แก้ว หรือ 2 ลิตรเพื่อให้เพียงพอต่อร่างกาย เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้ระบบภูมิคุ้มกัน ป้องกันไม่ให้เกิดภาวะขาดน้ำ ปากแห้ง ผิวแห้งกร้าน และยังช่วยเพิ่มปริมาณอสุจิในน้ำเชื้อให้มีมากขึ้นด้วย
แหล่งอ้างอิง
วันที่ 10-13 ม.ค. 2566 มูลนิธิแคร์แมท ได้รับการประเมินคุณภาพและติดตามผล ประจำปี 2022 ที่ผ่านมา โดย USAID Thailand ( United States Agency for International Development ) เพื่อความเป็นมาตรฐานและความเชื่อมั่นสำหรับผู้รับบริการ ในการยุติปัญหาเอดส์ในประเทศไทย ซึ่งได้ร่วมงานกับองค์กรภาคีและหน่วยงานภาครัฐของจังหวัดเชียงใหม่มาอย่างยาวนาน
สปสช.เยี่ยมชมการทำงานเพื่อป้องกันการติดเชื้อเอชไอวีและโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ขององค์กรภาคประชาสังคมในเชียงใหม่
เชียงใหม่, 13 ธันวาคม 2565 – นพ.จเด็จ ธรรมธัชอารี เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) พร้อมด้วย พญ.วลัยรัตน์ ไชยฟู รองผู้อำนวยการ สปสช.เขต 1 เชียงใหม่ ได้เดินทางไปเยี่ยมชมการทำงานขององค์กรภาคประชาสังคมในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ 2 แห่งซึ่งได้รับงบประมาณสนับสนุนการดำเนินงานจากแผนงานฉุกเฉินของประธานาธิบดีแห่งสหรัฐเพื่อบรรเทาปัญหาเอดส์ (PEPFAR) ผ่านองค์การเพื่อความร่วมมือแห่งสหรัฐอเมริกา (USAID) ภายใต้โครงการ EpiC ประเทศไทย และสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.)
โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้
ในเวลา 9.00 เดินทางไปเยี่ยมชมการให้บริการสุขภาพที่นำโดยกลุ่มประชากรหลัก หรือ Key Population Led Health Services (KPLHS) ของมูลนิธิแคร์แมท คุณศตายุ สิทธิกาน ผู้อำนวยการมูลนิธิแคร์แมท ให้ข้อมูลว่า มูลนิธิแคร์แมทเป็นองค์กรภาคประชาสังคมที่ทำงานส่งเสริมการเข้าถึงบริการและสนับสนุนคุณภาพชีวิตของผู้มีความหลากหลายทางเพศ โดยได้มีการเยี่ยมชมคลินิกเพื่อศึกษาโครงการจัดบริการเพื่อยุติปัญหาเอดส์ตามชุดบริการ Reach-Recruit-Test-Treat-Retain (RRTTR) รวมไปถึงศึกษาการเป็นหน่วยบริการที่รับการส่งต่อเฉพาะด้านการบริการเอชไอวีและโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ในชุมชน นอกจากนี้ยังมีการหารือเรื่องโครงการรักเพื่อน ชวนเพื่อน รักสุขภาพ Care for friend Safe life Safe sex ซึ่งเป็นการทำงานเพื่อป้องกันการติดเชื้อเอชไอวี โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ และการทำงานด้านสุขภาพจิตในวัยเรียน เพื่อเพิ่มการเข้าถึงบริการดังกล่าวของกลุ่มวัยเรียนในจังหวัดเชียงใหม่และลำพูน พร้อมกันนี้ยังได้เยี่ยมชมการสาธิตการจัดบริการในกลุ่มเสี่ยงที่เข้ามารับบริการที่คลินิกเทคนิคการแพทย์แคร์แมทอีกด้วย
ต่อมาเวลา 09.45 เดินทางไปเยี่ยมชมการทำงานของมูลนิธิเอ็มพลัส พร้อมรับฟังบรรยายสรุปการดำเนินงานของมูลนิธิ โดย คุณพงศ์ภีระ พัฐภีระพงศ์ ผู้อำนวยการมูลนิธิเอ็มพลัส ทั้งนี้มูลนิธิเอ็มพลัสเป็นองค์กรชุมชนที่มีความเชี่ยวชาญในด้านจัดบริการด้านการป้องกันการติดเชื้อเอชไอวีและโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ รวมถึงงานด้านสุขภาพทางเพศ และสิทธิทางเพศในกลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศในระดับประเทศ นอกจากนี้มูลนิธิเอ็มพลัสยังเป็นหนึ่งในองค์กรภาคประชาสังคมที่นำร่องจัดบริการเพร็พร่วมกับสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติในกลุ่มชายที่มีเพศสัมพันธ์กับชายและผู้หญิงข้ามเพศ ปัจจุบันมูลนิธิเอ็มพลัสได้มีการทำงานครอบคลุมไปถึงกลุ่มแรงงานข้ามชาติและผู้ใช้สารเสพติด โดยมุ่งเน้นให้กลุ่มประชากรหลักเหล่านี้เข้าถึงบริการสุขภาพด้านเอชไอวี เพื่อลดอัตราการติดเชื้อเอชไอวีรายใหม่ในประเทศไทยเพื่อมุ่งสู่เป้าหมายการยุติเอดส์ภายในปี 2573 ตามยุทธศาสตร์ของประเทศ
ในช่วงท้าย มูลนิธิเอ็มพลัสและมูลนิธิแคร์แมทได้มีการหารือถึงความก้าวหน้าของการทำงานขององค์กรภาคประชาสังคมภายใต้การสนับสนุนด้านงบประมาณจากสปสช. ความท้าทาย โอกาสและความร่วมมือในอนาคตเพื่อพัฒนาระบบบริการด้านเอชไอวีและระบบสุขภาพของกลุ่มประชากรหลัก อันจะนำไปสู่คุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นของประชาชนไทยภายใต้หลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าซึ่งเป็นระบบสุขภาพที่ได้รับการยอมรับและชื่นชมจากนานาชาติ
ปี 2022 นี้ใช้สโลแกน หรือคำขวัญว่า ทำให้เท่าเทียม ถึงจุดที่เราควรต้องคิดแล้วว่า โลกยุคนี้พวกเราแสวงหาความเท่าเทียมและเสมอภาค ในด้านสิทธิการเข้าถึงการตรวจเลือด การป้องกันเอชไอวี และรับการรักษา อย่างเท่าเทียมถ้วนหน้า
วันเอดส์โลกมีที่มาอย่างไร?
วันเอดส์โลก (World AIDS Day) วันที่ 1 ธันวาคม ของทุกปี ได้ถูกตั้งขึ้นเพื่อรณรงค์ยับยั้งการแพร่ระบาดของเชื้อเอดส์ ซึ่งได้คร่าชีวิตของผู้ป่วยโรคนี้ไปกว่า 25 ล้านคนแล้วทั่วโลก
วันเอดส์โลก (World AIDS Day) วันที่ 1 ธันวาคม ของทุกปี ได้ถูกตั้งขึ้นเพื่อรณรงค์ยับยั้งการแพร่ระบาดของโรคเอดส์ โรคเอดส์เริ่มเป็นที่รู้จักครั้งแรกในปี พ.ศ. 2524 แต่ในขณะนั้นจะรู้จักเพียงเฉพาะกลุ่มเล็กๆ เท่านั้น ต่อมามีการแพร่ระบาดโรคนี้ไปอย่างรวดเร็วและทั่วโลก จนมีตัวเลขผู้ติดเชื้อเป็นจำนวนมากจนเป็นที่น่าตกใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และแอฟริกา
HIV ย่อมาจาก human Immunodeficiency Virus เชื้อไวรัสนี้เป็นสาเหตุของโรคเอดส์ โดยเชื้อเอชไอวีจะเข้าทำลายเซลล์เม็ดเลือดขาวที่มีหน้าที่สร้างภูมิคุ้มกันโรค ให้ต่อสู้กับเชื้อโรคต่างๆ ที่เข้ามาในร่างกายเวลาที่เราเจ็บป่วย
AIDS ย่อมาจาก Acquired Immunodeficiency Syndrome (โรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง) โรคเอดส์จะเกิดขึ้นเมื่อระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายถูกเชื้อเอชไอวีบั่นทอนให้อ่อนแอลง จนถึงขั้นที่ร่างกายไม่สามารถต้านทานเชื้อโรคต่างๆได้อีก จนเริ่มติดเชื้อ หรือเกิดเป็นโรคต่างๆ
โรคเอดส์พบครั้งแรกในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2524 ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา ผู้ป่วยเป็นชายรักร่วมเพศป่วยเป็นปอดบวมจากเชื้อ นิวโมซีสตีส แครินิอาย (Pneumocystis Carinii) ทั้งที่เป็นคนแข็งแรงมากมาก่อน และไม่เคยใช้ยากดภูมิต้านทาน ผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการ พบว่าเซลล์ที่มีหน้าที่เกี่ยวข้องกับภูมิต้านทานไม่สามารถทำหน้าที่ได้ตามปกติ จากการศึกษาย้อนหลัง พบว่าโรคนี้มีต้นกำเนิดมาจากประเทศแถบอัฟริกาตะวันตกในปี พ.ศ. 2503 และต่อมาได้แพร่ไปยังเกาะไฮติ ทวีปอเมริกา ยุโรปและเอเซียรวมทั้งประเทศไทยด้วย
ในปี พ.ศ. 2526 Luc Montagnier ชาวฝรั่งเศส สามารถแยกเชื้อจากต่อมน้ำเหลืองของผู้ป่วย และตั้งชื่อว่า Lymphadenopathy Assoiciated Virus หรือ LAV และในเวลาใกล้เคียงกัน Robert Gallo นายแพทย์ชาวอเมริกันก็สามารถแยกเชื้อจากเม็ดเลือดขาวของผู้ป่วย และตั้งชื่อว่า Human T cell Lymphotropic Virus Type III หรือ HTL V III ต่อมา Levy นายแพทย์ชาวอเมริกัน สามารถแยกเชื้อชนิดเดียวกันนี้และตั้งชื่อว่า AIDS related virus จากการศึกษาในเวลาต่อมา พบว่าเชื้อทั้ง 3 ตัวนี้น่าจะเป็นเชื้อตัวเดียวกันจึงตกลงตั้งชื่อให้เป็นสากลว่า Human Immounodeficiency Virus หรือ HIV
สำหรับผู้ป่วยเอดส์รายแรกในประเทศไทยนั้น เป็นชายอายุ 28 ปี เดินทางไปศึกษาต่อที่อเมริกาและมีพฤติกรรมรักร่วมเพศ เริ่มมีอาการในปี พ.ศ. 2526 ได้รับการตรวจและรักษาที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่งในสหรัฐอเมริกา พบว่าปอดอักเสบจากเชื้อ Pneumocystis Carinii แพทย์ลงความเห็นว่าเป็นโรคเอดส์ จึงกลับมารักษาตัวที่ประเทศไทยในปี พ.ศ. 2527 และเสียชีวิตในเวลาต่อมา
ในปี พ.ศ. 2527 ประเทศไทยเริ่มมีโรคเอดส์เกิดขึ้นตามรายงานครั้งแรก และในช่วง ปี พ.ศ. 2527จนถึงปี พ.ศ. 2533 จำนวนผู้ป่วยที่ติดเชื้อโรคเอดส์มีอัตราเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว รัฐบาลจึงได้ประกาศเจตนารมณ์ที่จะแก้ไขปัญหาโรคเอดส์ โดยมอบให้กระทรวงสาธารณสุขรับผิดชอบให้มีคณะกรรมการประสานงานเกี่ยวกับโรคเอดส์แห่งชาติ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2528 โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขเป็นประธาน
และเพื่อให้ทั่วโลกได้ตระหนักถึงความสำคัญของการป้องกันโรคเอดส์ ตลอดจนส่งเสริมให้เกิดการยอมรับและห่วงใยต่อผู้ป่วยและผู้ติดเชื้อ องค์การอนามัยโลกจึงได้กำหนดให้วันที่ 1 ธันวาคม ของทุกปี เป็นวันเอดส์โลก ซึ่งเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2531 เป็นปีแรก โดยมีวัตถุประสงค์ดังต่อไปนี้ คือ
ในทุกวันที่ 1 ธันวาคมของทุกปี ทั่วโลกจะมีการจัดกิจกรรมรณรงค์ในวันเอดส์โลก เพื่อเป็นการสร้างจิตสำนึกให้ทุกคนได้ให้ความเห็นใจและห่วงใยต่อผู้ติดเชื้อและผู้ป่วย ตลอดจนให้ทุกคนมีความรู้เกี่ยวกับโรคเอดส์ อันจะเป็นแนวทางหนึ่งที่จะทำให้การขยายตัวของโรคนี้ลดน้อยลง โดยในปีนี้ได้มีคำขวัญวันเอดส์โลกว่า “ไม่ติด ไม่ตาย ไม่ตีตรา : ร่วมยุติปัญหาเอดส์ และเพศสัมพันธ์”
เหลียวหลัง วันเอดส์โลก องค์การอนามัยโลก เอดส์ เอชไอวี
กิจกรรมวันเอดส์โลก
สถานการณ์ของโรคเอดส์กลับแพร่กระจาย มากขึ้นและกลุ่มที่มีความเสี่ยงต่อโรคเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม หลายคนอาจเข้าใจผิดคิดว่าโรคนี้เกิดเฉพาะในกลุ่มรักร่วมเพศ หรือกลุ่มผู้ใช้ยาเสพติดที่ใช้เข็มฉีดยาเข้าเส้นร่วมกัน แต่ในปัจจุบันโรคนี้ได้แพร่กระจายเข้าไปในกลุ่มอื่นๆ ด้วย การจัดกิจกรรมต่างๆ ขึ้นมาเพื่อเป็นการรณรงค์และให้ความรู้ และการป้องกันเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาเรื่องโรคเอดส์ตามมา
จัดนิทรรศการ ให้ความรู้เกี่ยวกับเรื่องโรคเอดส์
การจัดนิทรรศการ ให้ความรู้เกี่ยวกับเรื่องโรคเอดส์รวมถึงการจัดบอร์ด การรณรงค์โรคเอดส์ การสัมมนา ในเรื่อวิชาการความรู้ เกี่ยวกับ โทษของโรคเอดส์ และสาเหตุ รวมถึงการป้องกันให้ความรู้เกี่ยวกับเรื่องเพศสัมพันธ์
จัดกีฬา ต้อต้านโรคเอดส์
การจัดกีฬาต้อต้านโรคเอดส์ เพื่อให้ทุกคน หันมาใส่ใจเรื่องสุขภาพ และห่างไกลโรคร้าย และห่างไกลสิ่งที่จะทำให้เป็นสาเหตุของการเกิดโรคเอดส์ได้
กิจกรรมรณรงค์โรคเอดส์
กิจกรรมรณรงค์ประชาสัมพันธ์ส่งเสริมบริการปรึกษาและตรวจหาการติดเชื้อHIV เกมส์ และถามตอบปัญหาอื่นๆมากมาย กรมอนามัย แจกถุงยางฟรี พร้อมให้ความรู้เกี่ยวกับการป้องกันโรคเอดส์ เผยแพร่ข่าวสาร การให้ความรู้ การป้องกันเกี่ยวกับโรคเอดส์
เผยแพร่ข้อมูลในวันเอดส์โรค
เพื่อให้ทุกคนได้ตระหนักถึงอันตรายจากการติดต่อและการเจ็บป่วยด้วยโรคเอดส์ เผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับโรคเอดส์ให้กว้างขวางยิ่งขึ้นและสามารถนำความรู้ไปใช้ในชีวิตประจำวันได้อย่างถูกต้องปลอดภัย และทำการเสริมสร้างและสนับสนุนให้มีมาตรการการป้องกันให้มากขึ้นในสังคมทุกระดับ โดยจัดให้มีการจัดกิจกรรมต่อต้านต่างๆดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง และเพื่อส่งเสริมให้เกิดการยอมรับและห่วงใยต่อผู้ป่วยและผู้ติดเชื้อ เพื่อให้นักเรียนและประชาชนทั่วไปสามารถปฏิบัติตนในการดูแลตนเองและทราบถึงวิธีการดูแลตนเองให้ปลอดภัยจากโรคเอดส์
วัยรุ่นและเยาวชนไทยในวัยเรียนสมัยนี้ ขาดการรักนวลสงวนตัว กล้าได้ กล้าเสีย มากขึ้น โดยไม่คำนึงถึงปัญหาที่จะตามมาในภายหลัง ดังนั้น ผู้ปกครองนักเรียน โรงเรียน สังคม มีหน้าที่ดูแล สอดส่องพฤติกรรมของนักเรียน และส่งเสริมให้นักเรียนได้รับความรู้ การปฏิบัติตนในการดูแลตนเอง และหาทางป้องกันตนเองได้อย่างถูกต้อง
ข้อระวังในการติดื้อ เอชไอวี และการป้องกันไม่ให้เกิดโรคเอดส์
โรคเอดส์นั้นไม่สามารถติดต่อกันได้ง่ายๆ โดยการติดเชื้อนั้นจะต้องติดกันเฉพาะที่ กลุ่มคนที่รับเชื้อเอชไอวีมานั้น ถูกรังเกลียดจากสังคมเป็นอย่างมาก เนื่องมาจากกลัวการติดเชื้อ การได้รับเชื้อไวรัสเอชไอวีเข้าสู่ร่างกาย โดยการรับเชื้อนั้นจะต้องมีปริมาณมากพอ ที่จะทำให้ติดโรคเอดส์ได้
การรับเชื้อ
การรับเชื้อนั้นจะต้องมีปริมาณมากพอ ที่จะทำให้ติดโรคเอดส์ได้ ได้แก่ เลือด น้ำอสุจิ น้ำในช่องคลอด ต้องเป็นช่องทางที่ทำให้เกิดการสัมผัสส่งต่อเชื้อได้โดยตรง เช่น การใช้เข็มฉีดยาเสพติดร่วมกันหรือ การมีเพศสัมพันธ์กัน โดยกรณีฝ่ายชายติดเชื้อจะส่งผ่านให้ฝ่ายหญิงทางเยื่อบุช่องคลอดหรือ กรณีฝ่ายหญิงติดเชื้อจะส่งผ่านทางปลายเปิดของอวัยวะเพศชายการใช้ถุงยางอนามัยสามารถป้องกันโรคเอดส์และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่นๆ และความไม่พร้อมในการตั้งครรภ์ได้ การใช้ถุงยางอนามัยจึงเป็นวิธีการป้องกันที่ง่ายและได้ผล
กลุ่มคนผู้ที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อเอชไอวี
กลุ่มคนผู้ที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อเอชไอวี ส่วนใหญ่เป็นผู้ที่ใช้บริการทางเพศ หรือมีเพศสัมพันธ์กับผู้ที่มีเชื้อเอดส์ การร่วมเพศกับผู้ติดเชื้อเอดส์ โดยไม่ใช้ถุงยางอนามัย ทั้งชายกับชาย หญิงกับหญิง หรือชายกับหญิง จะเป็นช่องทางธรรมชาติหรือไม่ธรรมชาติก็ตาม ล้วนมีโอกาสเสี่ยงต่อการติด โรคเอดส์ ผู้ติดยาเสพติด โดยใช้กระบอก เข็ม หรือสิ่งเสพติดร่วมกัน และผู้ที่รับเลือดโดยตรงอย่าง การใช้เข็มฉีดยาร่วมกับผู้ป่วยเอดส์ หรือการรับเลือดในขณะการผ่าตัด
จากแม่สู่ลูก
ทารกมีโอกาสติดเชื้อเอดส์จากแม่โดยติดต่อผ่านทางแม่สู่ลูก เพราะแม่มีเชื้อเอดส์ และถ่ายทอดให้ทารก ในขณะตั้งครรภ์ ขณะคลอด และภายหลังคลอด ปัจจุบันมีวิธีป้องกันการแพร่เชื้อเอดส์จากแม่สู่ลูก โดยการทานยาต้านไวรัสในช่วงตั้งครรภ์ จะสามารถลดโอกาสเสี่ยงต่อการติดเชื้อเอดส์ แต่ยังคงมีความเสี่ยงอยู่ ควรตรวจเลือดก่อนแต่งงาน
แนวทางการป้องกัน โรคเอดส์
หากรู้จักป้อกัน ใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้ง ที่มีเพศสัมพันธ์ ซึ่งการมีคู่ครองเพียงคนเดียว และไม่ใช้บริการทางเพศ หรือมีเพศสัมพันธ์กับบุคคลที่มีกลุ่มเสี่ยง จะช่วยป้องกันโรคเอดส์ได้เป็นอย่างดี หรือหากพลาดไปแล้ว ควรหมั่นตรวจร่างกายเป็นประจำ สม่ำเสมอ รวมถึงการงดดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และงดใช้สารเสพติดทุกชนิดร่วมกัน
โรคเอดส์ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้แต่หากได้รับการรักษาอย่างถูกวิธีแล้วก็จะทำให้มีสุขภาพที่ดีและมีชีวิตอยู่ได้นาน เพื่อควบคุมการเพิ่มขึ้นของเชื้อเอชไอวีต้องใช้ยาหลายๆ ตัว และนอกจากนี้แล้วสิ่งที่ดีที่สุด คือการทำจิตใจให้สบาย ออกกำลังกายอย่างถูกต้องและการรับประทานอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการ ไม่ทำงานหนักจนเกินไปและ พักผ่อนให้เพียงพอ
แนวทางการส่งเสริมกิจกรรมวันเอดส์โลก
การจัดตั้งกิจกรรมรณรงค์ต่อต้านโรคเอดส์ทุกวันที่ 1 ธันวาคม พ.ศ.2531 ซึ่งเป็นวันเอดส์โลก ซึ่งถือเป็นวันจัดกิจกรรมรณรงค์ต่อต้านโรคเอดส์พร้อมเพรียงกันทั่วโลก โดยมีจุดมุ่งหมายต่างๆ เพื่อให้ทุกคนได้ตระหนักถึงอันตรายจากการติดต่อและการเจ็บป่วยด้วยโรคเอดส์ เพื่อให้มีความรู้เกี่ยวกับโรคเอดส์ และมีมาตรการในการป้องกันตนเองที่ถูกต้องและสามารถนำไปปฏิบัติได้ในชีวิตประจำวัน
เพื่อให้ทุกคนได้ตระหนักถึงอันตราย
เพื่อให้ทุกคนได้ตระหนักถึงอันตรายจากโรคติดต่อของโรคเอดส์ จึงต้องมีการส่งเสริมและสนับสนุน ให้มีมาตรการการป้องกันโรคเอดส์ให้มากขึ้นในสังคม ทุกชนชั้น
จัดกิจกรรมการต่อต้านโรคเอดส์
เพราะแนวโน้มการติดเชื้อเอดส์ในกลุ่มวัยรุ่นเพิ่มขึ้น จากพฤติกรรมการมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ปลอดภัย อัตราการใช้ถุงยางอนามัยต่ำและระดับความรู้เกี่ยวกับโรคเอดส์ต่ำ การจัดกิจกรรมต่อต้าน และป้องกันการติดเชื้อเอดส์ จึงควรทำอย่างต่อเนื่อง เพื่อส่งเสริมแนวทางการป้องกันการติดเชื้อ เอชไอวี
เพื่อเผยแพร่ความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับโรคเอดส์
การเพื่อเผยแพร่ความรู้ ความเข้าใจ เกี่ยวกับโรคเอดส์ให้เยาวชนและประชาชนทั่วไป ได้เข้าใจอย่างถูกต้อง และกว้างขวางมากยิ่งขึ้น เพื่อป้องกัน และมีการเผยแพร่ข้อมูลที่ถูกต้อง การป้องกันเรื่องการท้องก่อนวัยเรียน และการป้องกันเรื่องการมีเพศสัม พันธ์อย่างถูกวิธี
ห่วงใยผู้ป่วยโรคเอดส์ ไม่ให้เหมือนถูกทอดทิ้ง
เพื่อส่งเสริมให้เกิดการยอมรับและ ห่วงใยต่อผู้ป่วยโรคเอดส์และ ผู้ติดเชื้อเอดส์ ด้วยการจัดกิจกรรมการเยี่ยมผู้ป่วย ที่เป็นโรคเอดส์ การบริจาคของ และการทำกิจกรรมร่วมกับผู้ป่วยที่เป็นโรคเอดส์อย่างไม่รังเกียจ เพื่อสร้างเป็นขวัญและกำลังใจ ให้ผู้ป่วยโรคเอดส์ได้มีแรงใจที่จะต่อสู้ชีวิตต่อไป
เพื่อให้ทุกคนได้ตระหนักถึงอันตรายจากการติดต่อและการเจ็บป่วยด้วยโรคเอดส์ เพื่อสร้างเสริมและสนับสนุนให้มีมาตรการการป้องกันให้มากยิ่งขึ้นในสังคมทุกระดับ ควรมีการจัดกิจกรรมต่อต้านต่างๆ ดำเนินไปอย่างต่อเนื่องการจัดกิจกรรมรณรงค์ในวันเอดส์โลก จะเป็นการสร้างจิตสำนึกให้ทุกคนได้ให้ความเห็นใจและห่วงใยต่อผู้ติดเชื้อและผู้ป่วย ตลอดจนให้ทุกคนมีความรู้เกี่ยวกับโรคเอดส์ อันจะเป็นแนวทางหนึ่งที่จะทำให้การขยายตัวของโรคนี้ลดน้อยลง
แหล่งอ้างอิง
https://www.state.gov/pepfar-world-aids-day-2022/
https://th.wikipedia.org/wiki/วันเอดส์โลก#:~:text=วันเอดส์โลก%20(World%20AIDS,ล้านคนแล้วทั่วโลก
https://www.myhora.com/ปฏิทิน/วันเอดส์โลก.aspx
ข้อมูลจากการสำรวจโดย NHES ชี้ให้เห็นว่า ทัศนคติการตีตรามีแนวโน้มลดลง โดยรวมแล้วผู้คนมีความเข้าใจที่จะอยู่ร่วมกับผู้ติดเชื้อ HIV มากขึ้น แต่สังเกตได้ว่า คนก็ยังกลัวการตรวจเลือด เพราะกังวลว่าคนรอบข้างจะรู้ ถ้าตนเองติดเชื้อ ถึงเกือบ 80% ซึ่งนี่เป็นประเด็นใหญ่ที่สุด และเป็นความท้าทายใหญ่ที่สุด ที่ทางผู้ให้บริการ หรือองค์กรที่รับผิดชอบการยุติปัญหาเอดส์ จะทำอย่างไร ให้ผู้คนตระหนัก และคลายกังวลในการเข้าถึงบริการเพื่อให้รู้สถานะผลเลือดของตัวเอง
การตีตราและเลือกปฏิบัติจากบุคลากรโรงพยาบาล 48 แห่งในประเทศไทย มีแนวโน้มลดลงใน 3 ปีที่ได้สำรวจมา พบว่าบุคลากรโรงพยาบาลยังมีทัศนคติ ตีตราและเลือกปฏิบัติผู้อยู่ร่วมกับเชื้อ HIV สูงมาก จาก 83% ในปี 2018 และลงลงอย่างมีนัยสำคัญ เหลือ 68% ในปี 2020 แต่ยังอยู่ในระดับที่สุง ซึ่งก็เป็นความท้าทายอีกประการที่จะต้องปรับเปลี่ยนทัศนคติผู้ให้บริการ เพื่อให้ผู้รับบริการไว้วางใจและเข้าสู่กระบวนการป้องกันรักษาเอชไอวี/เอดส์ ได้มากขึ้น
ส่วนผู้ที่อยู่ร่วมกับเชื้อ HIV นั้น พบว่าถูกตีตราและเลือกปฏิบัติจากบุคลากรในโรงพยาบาล ในระดับที่น้อยลง โดยเฉพาะประเด็นการถูกเปิดเผยสถานภาพ ดังนั้นจึงเริ่มมั่นใจได้มากขึ้นว่า ทางโรงพยาบาลมีมาตรการ การเก็บรักษาความลับของผู้รับบริการ ในขณะที่การตัดสินใจไม่ไปรับบริการ ซึ่งเป็นปมการตีตราตนเองของผู้อยู่ร่วมกับเชื้อ HIV เอง ก็แทบไม่ได้เปลี่ยนแปลงจากปีก่อนหน้า
ทางมูลนิธิแคร์แมท หวังเป็นอย่างยิ่งว่า ผลสำรวจนี้จะทำให้ผู้อ่าน ได้มีความมั่นใจ คลายกังวล และมีความกล้าที่จะตรวจเลือด ซึ่งเป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์ยุติเอดส์ของชาติ มาช่วยยุติปัญหาร่วมกัน ในขณะเดียวกัน บุคลากรในโรงพยาบาลและสถานบริการสุขภาพก็มีความรู้ความเข้าใจมากขึ้น ต่อการมอง การปฏิบัติตัวต่อผู้อยู่ร่วมกับเชื้อ HIV ทั้งนี้การรู้สถานะผลเลือด การเข้าสู่กระบวนการรักษา การคงสถานะผลเลือดลบ และการมีค่าไวรัสในเลือดในระดับที่ตรวจไม่พบสำหรับผู้อยู่ร่วมกับเชื้อ HIV เป็นหัวใจสำคัญต่อการยุติปัญหาเอดส์ คุณ และเรา ผู้ให้บริการด้านสุขภาพ มาร่วมมือกันเถอะ!
อ้างอิงจาก
นิอร อริโยทัย เครือข่ายลดการตีตราและเลือกปฏิบัติจากเอชไอวี, กองโรคเอดส์และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์, เอกสารประกอบการประชุมการขับเคลื่อนยุติปัญหาเอดส์จังเหวัดเชียงใหม่, 20-21 ต.ค.2565